Wednesday 8, Jan 2025

Latest News

    • นิราศหนองคาย : หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)

      นิราศหนองคาย กวี : หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) ประเภท : กลอนนิราศ ๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออกก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียงเมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชาลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ ๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดชซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัวศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่นทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลันพร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอเป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีกให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนายทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัวดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครันบ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกายทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัดขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกองเอาข้าวของเงินตราปัญญาดี เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี สู้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรีที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ ๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏหวาน(?)สวาทด้วยจะร้างห่างสมร แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ กางกรประคองกอดแม่ยอดรักพิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน นึกก็น่าใจหายเสียดายนวลด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียวนึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือนจะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิตนึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไปกลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอดคนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู ต้องจำใจจำร้างห่างพธูจงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศกอย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคีนั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ ๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำเป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่ ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไปจำครรไลโลมลาสุดาดวง น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้องเหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวงแล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุขอย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน สวัสดีมีชัยพ้นภัยยันเมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่นถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน สละรักหักใจอาลัยวรณ์ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณกำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานองใจสยองยิ่งสลดระทดระทม แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาสใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาลทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู เกินจะพรรณนาเหลือตาดูเครื่องคาวหวานมีอยู่ก็มากครัน เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพันล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จสักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามาทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ และท่านทำแหวนเพชรสิบเอ็ดวงหวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือจดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ ๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลันเจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงรายที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จแล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงครามขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธชยันโตสำเนียงเสียงประสาน เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวานโหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง พระครูโหรอวยชัยให้เดชะพระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์ พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดังขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ ๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จน้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล สุริยงทรงรถหมดมลทินทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรีท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือนเสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกันเสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน กลามตลอดจอดแพออกแจจนกญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ ดูเรือแพแออัดสงัดหายไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน กลัวจะกีดกันขวางทางชลธารหลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ ๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสวพวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตราเสด็จมาคอยรับกองทัพเอง เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่งลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็งเสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำถวายคำนับน้อมจอมสถาน แล้วถวายบังคมราบลงกราบกรานตามบูราณประเพณีที่มีมา กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณาเป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบาแต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพรแล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน ทองคำทำตลับระยับย้อยทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน พระจอมนาถมีพระราชโองการว่าของนานทำไว้จะให้เธอ ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับเจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอเสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อยพระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย คนในเรือรับพลางต่างวางพายน้อมถวายบังคมประนมกร ฯ ๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่เสียงก้องโกลาหลพลสลอน เอิกเกริกเร่งมาในสาครเรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่วล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลมฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุลเห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพรประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ ๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรงมีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา ชยันโตอวยชัยในนาวาจอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง พร้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียงบ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมรองพระจอมจุลจักรหลักสยาม พระกายไทยใจทหารชาญสงครามพระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์ พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับเรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง สังเกตลมพระพายพัดชายธงนิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวาพระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทันเห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอแต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือนี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วนนิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามาฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตรเรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว เรือนายทัพนายกองเนืองนองไปเรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ ๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตารามประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจรก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลันมาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋งฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย พอจวนถึงรอรานาวาคอยเรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับสมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ พระทัยดีมีพระกรุณประจำหยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของสมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ ๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสนบ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กันบางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลาฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวนจะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึงนอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิตโอ้าม(?)เอ๋ยเคยชิดแนบถนอม ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอมประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่าหัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลายโศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อยพอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา จวนแจ้งแสงศรีสุริยาตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม เสร็จเสพโภชนากระยาหารทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตมด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ ๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิตสำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง ฝีพายเตรียมนาวาประดาดังจอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียงเรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทรพายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้านก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดมล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพังกระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ ๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดงเรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา รีบรัดมาจอดวัดประทุมทองพินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา ล้วนรามัญชยันโตโพธิยาตามภาษาพระมอญอวยพรชัย ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมมีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไปตรงเข้าในศาลาหาสมภาร ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาททั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ น้อมจิตคิดตั้งปณิธานเจ้าอธิการคำรพจบสัพพี ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมดพระสุริยงเยื้องรถอับฉวี ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัยเดินไปไหนน้ำท่าเปียกผ้าผ่อน วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอนคนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับนอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ ตาบุน(?)ปราบแกขนาบเอาโซ่พันเร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกาอนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศกบังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาวไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหยอุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมาเกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาสใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบายุพเยาว์จะมิได้เห็นใจเรียม ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึกครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียมไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่างลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบายเหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวาเสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครันจ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตาครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ ๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกรกำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงยน่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งจอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียงนั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวังดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลันก็เหหันเรือประทับกับตะพาน เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุดบูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานานแต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วามทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหารครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตราจึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์ ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททองได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์ มีพระราชศรัทธาปัญญายงเสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอารามประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคนชื่อชุมพลนิกายาราม ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปราซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตามได้แจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน แล้วเลยทรงสถาปนาการพระวิหารให้คงดำรงดี แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททองดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมีทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระก็เลยละผายผันจิตหรรษา เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวาโห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนีบ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียวปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล ฝีพายไม่รอรามาตะบึงบรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไปเจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชาน้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญใจเบิกบานยินดีที่สบาย วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่วบ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลายให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิงพอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทาพระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระคารวะขอความตามประสงค์ ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรงสิงในองค์พระปฏิมากร จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอนจงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับผู้คนคับสองข้างหว่างถนน ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชนที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับคนที่รับไทยทานประมาณโข บางคนออกวาจาวราโรรัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อนเรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน ละลิ่วมาในวนชลธารบ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ ๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปราแวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำเวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ ๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสายเหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจรหมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวังมาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชาที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกายเสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียงคอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร แล้วชักชวนไปวัดมนัสการพระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียรแล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชาพระมหาที่นั่งในวังจันทร์ ออกจากวังไปยังพระอาวาสนามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททองเป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความแจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุดเอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง วัดสลักหักพังออกนังนุงแต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน เสด็จมาบำรุงผดุงการพระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความอยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลังเจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่องด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวานกรมการเขาว่าตราไม่มี ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสารแจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดีแจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ ๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศสักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล ต่างลงเรือทุกลำประจำพลบ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวังพร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัวให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวานโห่ประสานสามลาสง่าเหลือ ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ ๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพายบ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลมเรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับแดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยนเหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ ๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่านมีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน เรือกองทัพคับคั่งประดังกันแรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมดน้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิงอาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือคนที่เหลืออาศัยในวิหาร อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพานเหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศนองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการสุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ ๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่างค่อยลูบล้างพักตราวิญญาหวน เจ้าคุณสั่งให้บอกออกกระบวนเวลาจวนจะรุ่งฟุ้งอัมพร พอนาวาคลาเคลื่อนเขยื้อนโยกธงก็โบกริ้วริ้วปลิวสลอน นาวาเรื่อยเฉื่อยมาในสาครก็รีบร้อนเร็วมาไม่ราแรม ถึงน้ำวนวนปะประทะคุ้งเรือหันพุ่งข้ามบากไปฟากแหลม ฝีพายจ้ำน้ำเป็นฟองทั้งสองแคมไม่พรอมแพรมพร้อมพรั่งพายตั้งใจ ฯ ๏ ถึงเมืองสระบุรีเรือรี่เรียบเห็นทำเนียบรายเรียงเคียงไสว เขาปลูกตั้งหลังเด่นเห็นแต่ไกลพลไพร่ยินดีด้วยปรีดา ต่างมุ่งมาดพอถึงหาดพระยาทศบ่ายกำหนดสี่โมงโปร่งเวหา พระสุริยงจวนจะลับพรรพตาแลนาวาจอดเรียบประเทียบเรียง ที่ศาลาท่าน้ำลำกระแสเรือนเป็นแพจอดชุมนุมบ้างทุ่มเถียง ชวนกันชิงเรือนที่มีระเบียงขอนของเรียงเข้าไปวางต่างประจำ ต่างคนต่างก็ก็จองปองที่อยู่ถึงก่อนดูเลือกได้เมื่อใกล้ค่ำ พอพักพิงอิงกายวายระกำไม่ต้องทำเรือนร้านป่วยการคน ที่ลางนายผายผันไม่ทันเพื่อนไม่มีเรือนที่พำนักพักพหล หาไม้ไล่ทำหลังคาประสาจนพอบังฝนบังฟ้าเป็นท่าลม ท่านเจ้าคุณใจดีอารีเหลือคิดแผ่เผื่อไพร่แท้แต่ประถม ทำเนียบปลูกไว้มีไม่นิยมด้วยอารมณ์เอ็นดูหมู่นิกร ทำเนียบปลูกไว้ท่าสี่ห้าหลังพร้อมหอนั่งหอเคียงเรียงสลอน สู้อยู่เรือบดเลยตามเคยนอนด้วยอาวรณ์เมตตาประชาชน ถ้าแม้นขึ้นสู่อยู่ทำเนียบตรองการเรียบเรียงเห็นไม่เป็นผล จะไม่มีที่อาศัยแก้ไพร่พลท่านสู้ทนอยู่ในเรือใจเหลือดี ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องพวกกองทัพบ้างนอนหลับกรนอยู่เสียงฝู่ฝี่ แต่ตัวฉันตรึกตรมระทมทวีโศกโศกีแสนสวาทไม่ขาดวาย แสนคะนึงถึงนวลหวนเทวศจนดวงเนตรบวมแดงเป็นแสงสาย อยู่ในเรือกัญญาใหญ่ไม่สบายคิดใจหายใจห่างในทรวงครวญ โอ้เจ้าดวงพวงพุ่มอุทุมพรเมื่อยามนอนแนบถนอมกลิ่นหอมหวน เวลาตรมชมชูเรณูนวลยามรัญจวนก็วายหายกังวล ยิ่งนึกยิ่งตรึกตรมระทมทุกข์จะต้องบุกเดินป่าไปหน้าฝน จะข้ามดงพงชัฎระมัดตนเหล่าฝูงชนคิดกลัวหนังหัวพอง ฤดูฝนความไข้มิได้หยอกผู้ใหญ่บอกเศร้าจิตคิดสยอง ที่ในดงลึกล้ำล้วนน้ำนองจะยกกองทัพไปกลัวไข้ดง ซึ่งปู่ย่าตาลุงครั้งกรุงเก่าฟังเขาเล่าจำไว้ไม่ใหลหลง ฤดูฝนเป็นไม่ไปณรงค์ทำการสงครามแต่ก่อนบ่ห่อนเป็น แต่เมื่อใดฝนแล้งแห้งสนิทจึงจะคิดยกทัพไปดับเข็ญ คิดขึ้นมาน้ำตาตกกระเด็นไม่วางเว้นกลัวตายเสียดายตน โอ้กรรมเราเกิดมาเวลานี้พอไพรีมาสู่ฤดูฝน นึกแค้นอ้ายพวกฮ่อทรชนจะฆ่าคนเสียด้วยไข้ใช้ปัญญา ฯ ๏ ฉันตรองตรึกนึกพลางพอจ่างแจ้งสว่างแสงสุริเยเยี่ยมเวหา เป็นวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย ก็พร้อมด้วยนายทัพกับนายกองลงเรือล่องน้ำมาเวลาสาย ล้วนแต่งตัวเต็มยศหมดทุกนายต่างผันผายล้นหลามตามเจ้าคุณ รีบรัดมาถึงวัดสมุหะพร้อมด้วยพระหลวงยืนแลหมื่นขุน ทั้งหัวเมืองเป็นการวิ่งซานซุนคอยคำนับรับเจ้าคุณอยู่เรียงราย เรือเจ้าคุณแม่ทัพจอดกับท่าเยื้องยาตราพร้อมพรั่งคนทั้งหลาย ล้วนสวมเสื้อกำซาบดาบสะพายที่ตัวนายคอยสดับรับบัญชา ต่างคนเข้าไปในวิหารฟังโองการพร้อมกันด้วยหรรษา แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยาตามตำราบุราณสาบานตัว ท่านเจ้าพระยาแม่ทัพกลับทำเนียบเรือประเทียบแก้ท้ายแล้วบ่ายหัว จอดประทับกับท่าเวลามัวแดดสลัวจวนค่ำอยู่รำไร เวลาค่ำย่ำฆ้องครั้นสองทุ่มแตรก็รุมเป่าเสียงสำเนียงใส พวกทหารนั่งยามต้องตามไฟเอาฟืนใส่เรียงรายเป็นหลายกอง ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกำชับสั่งให้ประจุปืนประนังนั่งจดจ้อง เหล่าทหารหอกหลาวแลง้าวพลองพวกกองตรวจถือฆ้องกระแตตี ด้วยเรายกโยธามาจากถิ่นประมาทหมิ่นแล้วก็เห็นจะเป็นผี เผื่อพวกฮ่อต่อเข้ามาสระบุรีจะเสียทีย่อยยับทั้งทัพชัย ฯ ๏ ครั้นจวนแจ้งแสงสีตีสิบเอ็ดออกอึงเอ็ดเป่าแตรเสียงแซ่ใส ทหารเป่าขลุ่ยนัวรัวกลองชัยฟังเสียงไพเราะวังเวงด้วยเพลงแตร ครั้นรุ่งแสงสุริยาท้องฟ้าฟื้นเจ้าคุณขึ้นทำเนียบหน้าท่ากระแส สำหรับขุนนางใช้ต่างแพอยู่ริมแม่น้ำวนชลธาร พวกนายกองนายทัพคำนับน้อมมาพรั่งพร้อมนั่งเรียงเคียงขนาน คอยสดับตรับฟังจะสั่งงานจะมีการเหตุผลด้วยกลใด เจ้าพระยาแม่ทัพขยับโอษฐ์ภิปรายโปรดไต่ถามความสงสัย พวกเรามาพร้อมพรั่งหรืออย่างไรใครป่วยไข้ที่บรรดามาด้วยกัน พวกนายทัพนายกองสนองเรียนน้อมจำเนียรแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ คนกองทัพวิบัติอัศจรรย์เกิดปัจจุบันโรคร้ายเป็นหลายคน ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามระบอบจึงประกอบยาละลายกระสายฝน ตามตำราหมอด้วงแก่แก้อับจนท่านสู้ทนนั่งปรุงบำรุงยา แล้วก็ให้อนุญาตประกาศสั่งว่าทีหลังใครป่วยไข้ให้มาหา เพราะใจท่านอารีมีเมตตาตั้งรักษาเป็นธุระไม่ละเลย ถึงเที่ยงนางกลางคืนคนตื่นหลับคนกองทัพป่วยไข้มิได้เฉย สั่งให้ปลุกทุกครั้งเหมือนดังเคยไม่เสบยบอกเราเอาอาการ ด้วยลงทุนสำรองยากว่าสองชั่งยาฝรั่งมากมายหลายขนาน ด้วยจงหวังตั้งใจจะให้ทานคิดเตรียมการถ้าใครป่วยได้อวยเออ แล้วสั่งการขุนชำนาญภักดีพุกเที่ยวตรวจทุกเวลาอย่าได้เผลอ ใครเป็นโรคร้อนหนาวหรือหาวเรือให้ดอกเตอร์พุกปรุงบำรุงยา ตั้งแต่นั้นท่านก็นั่งคอยฟังทั่วใครยังชั่วใครจะหนักที่รักษา นายพุกเที่ยวทุกหมวดคอยตรวจตราตามบัญชามิได้เว้นเช้าเย็นดู คนมากหายตายน้อยนับตัวถ้วนนายพุกสวนสอบตรวจทุกหมวดหมู่ พวกกองทัพหายฟื้นต่างชื่นชูล้วนแต่รู้จักบุญคุณทุกคน เมื่อหยุดพักอยู่ที่ท่าพระยาทศต้องรองดช้าอยู่ฤดูฝน ครั้นจะยกทัพไปกลัวไพร่พลจะปี้ป่นเสียเพราะไข้ที่ในดง เจ้าคุณสืบสวนกะระยะทางพระยากลางพระยาไฟไพรระหง ให้รู้ที่สำคัญโดยมั่นคงด้วยจิตจงอยากยกขึ้นบกไป ให้พระรัตนกาศประภาษถามก็แจ้งความมั่นคงไม่สงสัย เขาว่ามรคาพระยาไฟจะคลาไคลเหลือล้ำด้วยน้ำนอง ทั้งเป็นโคลนเป็นหล่มตมตลอดจะมุดลอดหลีกลัดก็ขัดข้อง ต้องเดินข้ามแม่น้ำลำธารคลองข้ามเป็นสองสามหนล้วนชลลึก ท่านเจ้าคุณแจ้งเหตุสังเวชไพร่ด้วยจะไปรบรากับข้าศึก จะมาตายเสียในดงที่พงพฤกษ์อนาถนึกเศร้าใจด้วยไพร่พล จึงแต่งบอกกราบทูลตามมูลเหตุเป็นไปรเวทเรียงความตามนุสนธิ์ ขอรอรั้งตั้งพักพำนักพลแต่พอฝนฟ้าแล้งทางแห้งดี หนังสือเสร็จแล้วก็ส่งลงบางกอกผู้ถือบอกหมายมุ่งไปกรุงศรี ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดีพร้อมอยู่ที่พระยาทศหมดด้วยกัน เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวันตั้งแต่นั้นเป็นคนสุขสนุกจริง พวงหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่นล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง บ้างโกรธขึ้งหึงหวงเที่ยวช่วงชิงแล้วค้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยวบ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน บ้างสู่ขอเป็นเมียได้เสียกันแต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร ด้วยคิดถึงเนื้อคู่อยู่ที่บ้านจึงขี้คร้านยาตรย่างไปข้างไหน ถึงเห็นสาวสวยสดสู้อดใจเพื่อนเขาไปตัวเราอยู่เฝ้าเรือ วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขายเฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ อุตส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง ฉันขี้คร้านผูกรักคิดจักเบือนเหล่าพวกเพื่อนเย้ยยั่วว่ากลัวหญิง ควรจะหาที่พักสำนักพิงคิดแอบอิงแต่พออุ่นถุนขี้ยา ฯ ๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดเสร็จความขึ้นสามค่ำได้จดจำจงหวังไม่กังขา บ่ายสามโมงสังเกตเศษเวลาเรือไฟมาเปิดหลอดเสียงหวอดดัง เห็นเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์จำถนัดเรือห่างอยู่ข้างฝั่ง ลงเรือแหวดแจวร่าเข้ามายังถึงกระทั่งท่าทำเนียบจอดเทียบพลัน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับรองต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ขึ้นบนทำเนียบท่าพูดจากันแต่โดยฉันราชการในสารตรา ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ก็หยิบลายราชหัตถเลขา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับมาจิตปรีดาเบิกบานสำราญใจ ท่านเจ้าคุณรับรองของประทานที่เจ้าคุณทหารนำมาให้ ดาบฝรั่งสองร้อยเล่มที่เต็มในหีบใหญ่ใหญ่รับขนขึ้นบนเรือ อีกกับน้ำมันหอมพระจอมเกล้าทรงเสกเป่าไว้เลิศประเสริฐเหลือ ดอกไม้ร้อยแปดอย่างไม่จางเจือกลั่นเอาเหงื่อทำน้ำมันด้วยบรรจง ไว้บำเรอลูกเธอเสด็จทัพเป็นที่นับถือความตามประสงค์ ได้ป้องกันสรรพภัยที่ในดงออกณรงค์ไม่ต้องคิดมีจิตกลัว ด้วยเจ้าคุณมีชื่อลือทุกเวียงเป็นบุตรเลี้ยงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงประทานน้ำมันมากันตัวครั้นอ่านทั่วราชหัตถ์จัดจำเนียร ฯ ๏ ลุวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นแปดค่ำได้จดจำแน่จิตประดิษฐ์เขียน เรีบยเรียงเรื่องเบื้องต้นไม่วนเวียนพระยาเกียรติ์นั้นจึงมาถึงพลัน เชิญท้องตราขึ้นมาหนึ่งฉบับเจ้าคุณรับตามควรไม่ผวนผัน พระยาเกียรติ์ก็กลับไปฉับพลันยังหาทันที่จะถามเนื้อความใด จึงประชุมลูกทัพกับหลานกองฟังอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข มีบังคับรีบให้ยกขึ้นบกไปแจ้งอยู่ในสารตราที่มาวาง ถ้าให้ไปตรวจเสบียงให้เพียงพอกับอีกข้อหนึ่งให้ปรุงปลูกยุ้งฉาง ให้ถ้วนทุกจังหวะระยะทางกับเร่งส่วยด้วยที่ค้างอยู่นมนาน แม้นเงินไม่มีสำรองให้กองทัพที่จะจับจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร เร่งส่วยเสียที่ท้าวเพี้ยกรมการมาเจือจานสำหรับกองทัพชัย ท่านเจ้าคุณแม่ทัพสดับตราบังคับมามั่นคงไม่สงสัย จึงโต้ตอบท้องตราปัญญาไวซึ่งจะไปเร่งส่วยเห็นป่วนการ แล้วจะให้ปลูกปรุงซึ่งยุ้งไว้กับจัดให้ซื้อเสบียงเลี้ยงทหาร ด้วยจะยกนิกรไปรอนราญจะละลานหน้าหลังเป็นกังวล ซึ่งจะให้ยกทัพไปสรรพเสร็จแต่ในเดือนสิบเอ็ดฤดูฝน เป็นที่ลำบากใจแก่ไพร่พลน้ำยังล้นลงไม่ลดของดที ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจารึกหลังส่งไปยังบางกอกบอกวิถี แรมทัพคอยท้องตราหลายราตรีบ่ห่อนมีเภทภัยสิ่งใดพาล ท่านเจ้าคุณแม่ทัพพูดปรับทุกข์ซึ่งจะบุกไปในป่าน่าสงสาร กลัวผู้คนทั้งหลายจะวายปราณจึงคิดอ่านหาช่องสู่ท้องตรา ถึงจะมีโทษร้ายกฎหมายทัพจะสู้รับเอาผู้เดียวจริงเจียวหนา ที่ข้อขัดบังคับรับอาญาถึงจะฆ่าถือมั่นกตัญญู ขออย่าให้ไพร่พลไปป่นปี้เวลานี้ขืนจรต้องอ่อนหู จะรับบาปคนทั้งเพเหมือนเยซูมิให้หมู่ไข้ป่ามันฆ่าคน มิใช่จะคร้านคลาดราชการเพราะสงสารโยธาด้วยหน้าฝน จะพากันไปตายทำลายชนม์แล้วเมืองบนก็ไม่มีไพรีรอน แม้นข้าศึกนับแสนตีแดนร่วมถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร จะสู้ยกพหลพลนิกรถึงไฟร้อนต้านหน้าจะกล้าไป ฯ ๏ เดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำตามเหตุบ่ายสักสามโมงเศษไม่สงสัย พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาในเรือกลไฟถึงท่าพระยาทศ บังเอิญเทวดาวลาหกก็เร่งตกลงมาให้ปรากฏ ฝนก็ไม่หายเหือดไม่เงือดงดไม่หยาดหยดซู่ซ่าลงมาพอ ท่านเจ้าคุณไปคำนับรับสมเด็จฝนสาดไม่ขาดเม็ดลงสอสอ ต้องกางกั้นร่มไปมิได้รอลงนั่งย่อเรือพายม้ารีบคลาไคล ครั้นถึงเรือสมเด็จจอดเสร็จสรรพน้อมคำนับกราบก้มประนมไหว้ แล้วเรียนเรื่องทางบกจะยกไปในดงใหญ่น้ำมากลำบากคน ขอรั้งรอพอให้แห้งแล้งสักหน่อยจึงจะค่อยยกไปในไพรสณฑ์ ถ้าขืนยกเวลานี้เห็นรี้พลจะปี้ป่นตายลงในดงดาน ท่านเจ้าคุณจำเนียนกราบเรียนเสร็จฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฟังว่าขาน จึงมีพระประศาสน์ประกาศการให้คิดอ่านรีบยกขึ้นบกไป เจ้าคุณรับโอวาทประศาสน์สั่งโดยข้อบังคับแจ้งแถลงไข จะให้ยกโยธารีบคลาไคลรอพอได้ทำบุญเสร็จสักเจ็ดวัน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกลับทำเนียบฝนไม่เรียบตกตวดเป็นกวดขัน พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยันมีกำปั่นไฟถึงอีกหนึ่งลำ ด้วยท่านหลวงยุทธยานาธิกรท่านด่วนจรก็เห็นสมดูคมขำ เชิญท้องตรามากำลังฝนตกพรำขึ้นบนทำเนียบท่าชลาธาร ส่งท้องตราให้แก่ท่านแม่ทัพอีกทั้งกับเงินจำแนกแจกทหาร ทั้งเงินห้าสิบชั่งสั่งประทานเป็นเงินงานเตรียมทัพสำหรับไป ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรองแล้วอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข มีบังคับจะยกขึ้นบกไปแต่โดยในเดือนสิบเอ็ดจงเสร็จพลัน เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้งตอบแถลงตามกระบนไม่ผวนผัน ด้วยโคต่างช้างมามาไม่ทันการติดตันเหลือเขยื้อนเคลื่อนนิกาย แม้โคต่างช้างมาพร้อมมาถึงเป็นแน่หนึ่งวันนั้นได้ผันผาย พอได้พาหนะทั่วเหล่าตัวนายจะถวายบังคมลาฝ่าละออง ครั้ยเสร็จสรรพพับผนึกจารึกบอกส่งบางกอกแจ้งความตามสนอง หลวงยุทธยาคำนับแล้วรับรองหนังสือสองสามฉบับแล้วกลับลา ฯ ๏ ครั้นขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ดได้จำเสร็จโดยหวังไม่กังขา น้ำท่วมถึงกระทั่งเลยหลังคานึกก็น่าอัศจรรย์ขันกระไร เรือต้องขึ้นจอดบกเจียวอกเอ๋ยมิได้เคยพบเห็นเป็นไฉน นึ้ขึ้นถึงขนาดประหลาดใจแม้นผู้ใดบอกคงจะสงกา นี่ได้เห็นต่อพักตร์แก่จักขุเจอแลจุปากทักน้ำหนักหนา ขึ้นคืนเดียวเจียวร่วมท่วมหลังคาเป็นน้ำป่าเช่นผู้เฒ่าเขาเล่ากัน ฯ ๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จวัสสาสิบห้าค่ำเจ้าคุณทำบุญใหญ่ใจกระสัน สนองคุณบพิตรนิจนิรันดร์ด้วยเป็นวันพระจอมเกล้าฯเข้านิพพาน นิมนต์สงฆ์พร้อมเพรียงประเดียงฉันในวันนั้นล้วนเป็นสุขสนุกสนาน มีมหาชาติใหญ่แล้วให้ทานมโหฬารสรวลเสเสียงเฮฮา ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริย์ใสจุดดอกไม้ส่องสว่างกลางเวหา แสงดอกไม้กระจ่างสำอางตาจับนวลหน้านางลาวขาวเป็นใย ครั้นเทศน์ครบจบตามสิบสามกัณฑ์ตั้งแต่นั้นน้ำลดค่อยงดหาย ซึ่งกองทัพเปป็นสุขสนุกสบายพอหาดทรายผุดพ้นชลธาร ท่านเจ้าคุณแม่ทัพหยุดยับยั้งท่านก็ตั้งซ้อมศึกฝึกทหาร ล้วนเข้าใจไวว่องคล่องชำนาญท่านเห็นการน้ำลดเงือดงดลง จึงแต่งจัดขุนสัจจวาทีสืบวิถีแน่กำหนดลงจดหมาย เสร็จสรรพกลับสนองทั้งสองนายกราบเรียนรายระยะทางในกลางดง ก็พอจะไปได้ไม่สู้ยากที่ลำบากน้ำเผื่อยังเหลือหลง เป็นหล่มลึกตลอดไปในไพรพงก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นดอนไป เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้งว่าทางแห้งไม่สู้ยากลำบากไพร่ คิดจะยกซึ่งพหลพลไกรแต่ยังไม่มีช้างโคต่างจร เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎรก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษของพระยาราชเสนาลงมาถึง ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึงเจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ ใบบอกว่าพระยามหาอำมาตย์กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงามพอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย กองทัพไทยได้ทีตีกระทบพวกฮ่อรบแหกหันหนีผันผาย พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นายที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า พวกอ้ายฮ่อดีนักแผลงศักดาบนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน พระสุริยนสนธยาวลาหกเพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลันเข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล แต่พระยามหาอำมาตย์นั้นได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวนหลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบเจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัวด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิดอ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้ พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไปด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้มใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ คอยฟังกล่าวซึ่งท้องตราให้หากลับก็ลึกลับเหลือล้นพ้นวิสัย ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไปประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืนเมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึงคนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชาเสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำมิได้จำจดไว้ไม่เป็นการ ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับเจ้าคุณแม่ทัพเกษมศานต์ แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านานทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหารทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา เอาเงินแจกคนชแรแก่ชราทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร พอโคต่างช้างมาลงมาถึงเจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน ให้ได้เห็นจึงรู้ดูจำนวนจงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่าโคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบายพร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดินบอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์ เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญจะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่าบ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอยไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย พวกลาวชาวบ้านพระยาทศรู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดายกองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกสนาน ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญพวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่งดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชาบ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง ฯ ๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาดเจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึงแล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือมาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน มายังที่ชุมนุมประชุมพลันพร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับรอง แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนองจงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามบังคับจึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว โคต่างช้างมีมาจะว่าไรอยากจะใคร่กรีพลพหลจร บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมดได้กำหนดไว้แล้วแต่ก่อน จะยกซึ่งพหลพลนิกรใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าวเป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี ขอถวายบังคมลาฝ่าชุลีสิ้นวาทีห่อพับประทับตรา แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์ตามเหตุผลข้อศึกที่ปรึกษา ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยาเห็นกำปั่นไปมาถึงท่าพลัน เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน พอเห็นหมวกกะระเซ็นเป็นสำคัญชาวอเมริกันเขาขึ้นมา ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมกับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจาตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไรทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุลเขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปังกับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้ ยาโกรกกรากใบตองสำรองไปทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอมอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา คนกองทัพจับไข้ได้พยา-บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร ช่วยกันขนล้นหลามถ้วยชามจานทั้งนำตาลทรายกระสอบรับมอบมา ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาดไปจากหาดพระยาทศกำสรดหา ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตาจะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ดคนพร้อมเสร็จเตรียมกายจะผายผัน ขนของลงนาวาไม่ช้าพลันบ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนืองล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส ดูงดงามตามตำแหน่งแกร่งเกรียงไกรต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อนอุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่างงามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร เสร็จลงนาวาเวลาควรเรือก็หวนเหห่างออกกลางชล ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสานฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา เหล่าพวกสาวชาวบ้านละลานจิตบ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา เดินตามส่งกองทัพจนลับตาบ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบเรือยวบยวบมาในวนชลกระแส ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแดทรวงตั้งแต่โศกข้อนอาวรณ์มา เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุยฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้างถลา ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมาดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชาญชล น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยวฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบลประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอยไพร่พลคอยถ่อค้ำหักต้ำโผง ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยงค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุดพอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลงเขาตกแต่งคอยรับกองทัพชัย เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพานพอทหารยืนเรียงเคียงไสว พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไปกัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ ทหารแถวยึกปืนขึ้นคำนับไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำเขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั่นครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธารให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่งจัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง ตามกระบวนทัพชัยในทำนองปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน พระอภัยสงครามใจห่ามฮึกเคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดินคงไม่เยินย่อยยับอัปรา ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลายเป็นปักซ้ายสำหรับกองทัพหน้า พระอภัยพลรบจบศักดาเป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป พระมนตรีบวรซ้อนประดังเป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย รวมจำนวนบาญชีที่มีไปล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร พระยาชิตณรงค์เคยสงครามไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกรไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่นเป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา พลรบถือครบเครื่องศัสตราประจำหน้าที่ไม่ถอยคอยต่อกร เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวงเป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอนแม้นราญรอนท่วงทีจะมีชัย ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัดกับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนใหญ่ คุมทหารสำหรับแม่ทัพไประวังภัยมิได้หมิ่นอรินพาล พระพิบูลไอศวรรย์ตัวกลั่นกล้าเป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพการรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนายเป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน ซึ่งพระยามหานุภาพนั้นก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพลเพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน หลวงภักดีจุมพลรณดิลกเป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครันรู้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน ซึ่งขุนสกลสารบาลใจหาญฮึกในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน เป็นที่จเรทัพจับกระบวนเจ้าจำนวนริ้วทัพกำกับการ ซึ่งท่านขุนอินทร์วิเชียรชาติขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ ขุนนราชุมพลคนชำนาญขันสัจวาทิการทั้งสี่นาย เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจด้วยองอาจมิได้พรั่นจิตมั่นหมาย อยากรบศึกฝึกตัวไม่กลัวตายคุมนิกายพลรบครบทุกคน หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้นก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพลเมื่อประจญประจัญรับกับอริน หลวงจัตุรงคโยธาปัญญาลึกการรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน ขุนนราฤทธิไกนใจทมิฬขุนพิชัยชาญยุทธศิลป์รวมห้านาย ล้วนคุมไพร่ไวว่องเป็นกองหลังถือโล่ห์ดั้งและดาบกำซาบสาย ทั้งปืนใหญ่ปืนน้อยปล่อยลูกปรายดาบตะพายง้าวทวนกระบวนเรียง ท่านหลวงทรงศักดาปัญญายงดั่งเล่าฮ่องตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียงเสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ ท่านขุนรักพลพยุห์ใจดุเหลือยิ่งกว่าเสือฤทธาก็กล้าหาญ ท่านขุนราชเมธาปัญญาชาญล้วนกองด้านแซงนอกพลหอกแดง ฯ ๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อมต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดงต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่ายทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลันแล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ ๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำเป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยนพวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวนงามธงทวนพู่หอกดั่งดอกแขม ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรมสีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์คอยเบิกเนตรนั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวนลั่นฆ้องถวนสามครั้งขึ้นยังเกย ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับรูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย ดูงามงดรจนาสง่าเงยช้างตัวเคยเป็นประเทียบหลังเรียบดี เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือนค่อยคลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี เสียงเท้าคนเดินดงเป้นผงคลีดั่งธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ ๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง เจ้าคุณก็จำเนียรจุดเทียนทองแล้วจึงร้องเรียกคนให้ไปบูชา เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้งถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมาดงพระยาเย็นเชียบเงียบเหงาใจ ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว โศกสักกรักกร่างมะทรางไทรแสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคล้อง มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกาคางมะค่าประคำร้อยและข่อยหยอง กระท้อนกระทุ่มอุทุมพรและค้อนกลองมะพลับพลองพลวงกะเพราสะเดาดง ต้นตะโกสะแกแสมสารต้นกำยานพระยายาและกาหลง อัมพามะพูดชลูดโรกโลดทะนงทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าและขานาง ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟสลัดไดนางรองและทองหลาง มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวางมะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล เกดกุ่มพุมเรียงและเหียงหาดมะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปนมีทั้งคณฑาไทยลำไยดง ตะแบกกระเบากรันเกราไกรทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์ ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์ทั้งคนทรงแส้ม้าพระยารัง ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำเหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพังเหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อฤทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว เข้าใต้พงดงรังระวังตัวเพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิตครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย ไหนจะคิดถึงญาติไม่ขาดวายทั้งพี่ชายน้องสาวและอาวอา ฯ ๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้าโอ้โศกเราเหลือลึกพ้องพฤกษา มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมาเหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทางแลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือแม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวันตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่องเหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคนจะยกพลขึ้นบนบกก็รกเกิน ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้นตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน ถึงจะให้คนถางหนทางเดินตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิดไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น จะหามเรือไปก็ยากลำบากครันด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบากจะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัยด้วยความไข้มิใช่ชั่วกลัวระวัง ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้งยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลังเป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน มิใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์ อนิจจาว่าไม่เบี่ยงไม่เที่ยงธรรม์ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล จึ่งรู้ตัวว่าจะตายวายกังวลปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบเหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี หากว่าบุญเราหลายได้นายดีไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโขสู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่ ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจคงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน คนอื่นก็พูดกันเช่นฉันว่าเหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกินบ้างอวยชัยให้เจริญยิ่งภิญโญ ตัวฉันนั่งแล้วลองคิดตรองตรึกถ้าปะศึกท่วงทีจะดีโข ด้วยฝูงไพร่พร้อมพรั่งตั้งมโนแผลงเดโชเอาชนะกะศัตรู ของสนองพระเดชคุณอุดหนุนแท้เจ้าคุณแม่ทัพนี่อารีอยู่ ค่อยเคลื่อนคลายหายเข็ญท่านเอ็นดูช่วยชื่นชูชีวังเรายั่งยืน เหล่าพวกไพร่พูดจาว่ากันวุ่นขอแทนคุณท่านเมตตาจะฝ่าฝืน จะเอากายเป็นค่ายตับรับลูกปืนพูดกันดื่นเจียวอย่างนี้เห็นมีชุม ค่อยเดินช้างมาในกลางพนมวันหัวอกฉันร้อนใจดั่งไฟสุม แสนกระสันเศร้าโศกเหมือนโรครุมให้กลัดกลุ้มตรมใจไม่เสบย ฯ ๏ มาถึงห้วยหินลับดูลับลี้เหมือนกับพี่ลับมานิจจาเอ๋ย ทั้งลับตาลับหูลับคู่เชยเมื่อไรเลยจะหายลับกลับได้ยล ตั้งแต่มาหาได้ลืมแม่ปลื้มจิตเฝ้าแต่คิดถึงวันหลายพันหน ถึงยามกินยามนอนให้ร้อนรนเป็นกังวลคะนึงคิดถึงนาง ทั้งคิดถึงมารดาและอาพี่ปานฉะนี้จรดลจิตหม่นหมาง คงคิดถึงลูกหลานข้ามด่านทางมาในกลางดงป่าพระยาไฟ ชาวบางกอกออกชื่อพระยาเย็นแล้วก็เป็นสั่นหัวกลัวความไข้ ซึ่งเรามานี้จะรอดตลอดไปหรือจะไม่พ้นดงจะปลงชนม์ ฯ ๏ ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขดสูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตนขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผาหนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดินสะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลดช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำแม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก ซึ่งคนอยู่บนสัปคับนั้นมือถือมั่นตัวโยกอยู่โงกหงึก ดูเหวเห็นใจเต้นอยู่ทึกทึกช้างพลาดกึกคนงูบจับกูบงัน คนเดินเท้าเล่าก็ล้าทำหน้าจืดคันยาวยืดใช่ง่ายเดินผายผัน ซึ่งหนทางนั้นเล่าภูเขาชันช้างยังดันเต็มแย่อ้อแอ้ไป ฉันขี่ท้ายช้างเจ้าคุณเป็นบุญเกินแม้นต้องเดินเคี่ยวเข็ญเป็นไม่ไหว นี่ไม่ต้องล้าเลื่อยเหน็ดเหนื่อยใจเพราะว่าได้ขี่ช้างทางกันดาร ฯ ๏ ครั้นถึงทับมะค่าเห็นน่าหยุดพี่แสนสุดเป็นสุขสนุกสนาน แลตลอดโล่งเตียนเลี่ยนเป็นลานแลเชิงชานภูผาเห็นน่าชม ที่นั่นมีอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตมาแท้แต่ประถม คนกองทัพพรั่งพร้อมน้อมประนมที่ใต้ร่มไม้รังตั้งบูชา แล้วคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้งดูคับคั่งพลนิกายทั้งซ้ายขวา บ้างเป็นหลุมเป็นบ่อมรคาบ้างตั้งท่าชันตรงลดลงดิน ทางขึ้นขึ้นลงลงในดงชัฏบ้างเดินลัดหลีกออกทางซอกหิน บ้างสูงเยี่ยมเทียมฟ้าเมฆาฆินบางแห่งเห็นเหม็นกลิ่นมาไม่ดี ในดงชัฏฝูงสัตว์ไปไหนหมดไม่ปรากฏเจอพักตร์ฝูงปักษี ไม่ยินเสียงลิงค่างบ่างชะนีไม่เห็นมีนึกประหลาดอนาถใจ ฯ ๏ ครั้นมาถึงมวกเหล็กเป็นที่เลี่ยนสะอาดเตียนที่ทางช่างกว้างใหญ่ ก็หยุดซึ่งพหลพลไกรเอาผ้าใบดาดหลังคามีฝาบัง ทำเป็นที่สำหรับประทับผ่อนคนล่วงหน้ามาก่อนปลูกสองหลัง ดีกว่าคาแฝกมุงไม่รุงรังยกกูบตั้งในสำหรับแม่ทัพนอน ครั้นเวลาคำรบเมื่อพลบค่ำคนประจำหน้าที่มีสลอน คอยนั่งยามตามไฟที่ในดอนบางคนผ่อนพักหลับระงับกาย ฟังเสียงฆ้องกระแตแซ่เสนาะทั้งเสียงเกราะหวั่นไหวน่าใจหาย ซึ่งละอองน้ำค้างลงพร่างพรายร่วงโปรยปรายต้องทั่วทุกตัวคน ตัวฉันนอนในแต๊นท์แสนสบายพอค่อยวายตากน้ำค้างอย่างเม็ดฝน ก็พอค่อยเป็นสุขไม่ทุกข์ทนนอนเหนือบนพรมลาดสะอาดกาย แสนคะนึงถึงคู่ที่ชู้ชื่นในกลางคืนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย โศกถึงมิตรคิดถึงเมียยิ่งเสียดายเฝ้านอนฟายชลนาไห้จาบัลย์ โอ้พวงพะยอมหอมไม่หายวายระเหยเมื่อไรเลยจะได้กลับไปรับขวัญ พี่จากเจ้าลี้ลับมานับวันจะไกลกันไปทุกทีตั้งปีเดือน แสนเป็นห่วงดวงจิตขนิษฐ์นาฏเป็นห่วงญาติน้อยใหญ่ใครจะเหมือน ห่วงสมบัติพัสถานห่วงบ้านเรือนเป็นห่วงเพื่อนพิสมัยอาลัยลาญ เวลาตีสิบทุ่มยิ่งกลุ้มจิตขุนพินิจรัวฆ้องเพรียกเรียกทหาร ให้ผูกช้างผูกม้าไม่ช้านานมาเตรียมการพร้อมพรั่งช้างพังพลาย แล้วบอกให้ช้างคุกบรรทุกของทุกหมวดกองเตรียมกันจะผันผาย เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกายขึ้นช้างพลายสีดอลออตา ตีสิบเอ็ดเสร็จเขยื้อนคลาเคลื่อนทัพพร้อมเสร็จสรรพไพร่นายทั้งซ้ายขวา กระบวนทัพขับขันอรัญวาล้วนแต่ป่าดงชัฏสงัดใจ แสงพระจันทร์สว่างกระจ่างแสงแต่บังแฝงยงยูงสูงไสว ส่องสว่างอยู่บนกลางนภาลัยแต่ว่าในดงคลุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ คนเดินเท้าแสนขยาดอนาถเหลือคิดกลัวเสือสัตว์ป่าเวลาดึก ที่ลางคนคร้ามขลาดอนาถนึกต่างโห่ฮึกเสียงกันอันตราย หนทางก็เหลือเลอะน้ำเฉอะชุ่มล้านแต่หลุมหล่มเลอะเปรอะใจหาย ครั้นจวนแจ้งแสงเมฆาเวลางายฉันไม่วายคิดถึงน้องจิตหมองมล ฯ ๏ ครั้นถึงทุ่งใช้วานฉันวานหน่อยไปบอกสร้อยเสาวเรศแจ้งเหตุผล ว่าฉันไม่มีสุขเฝ้าทุกข์ทนแลไม่ยลผู้ใดจะใช้วาน ยิ่งโหยหวนครวญหานิจจาเอ๋ยผู้ใดเลยจะช่วยกล่าวนำข่าวสาร ไปถึงมิตรขนิษฐายุพาพาลแจ้งเหตุการณ์ว่าพี่ดีสบาย ไม่เจ็บปวดป่วยช้ำมีความสุขเป็นแต่ทุกข์เศร้าโทรมถึงโฉมฉาย เป็นสุดงดที่จะคลาดสวาทคลายคิดถึงสายสุดที่รักที่จากทรวง ฯ ๏ ถึงสระคุดเห็นสระมีประจักษ์ประหลาดนักสระอะไรช่างใหญ่หลวง ฝูงคนมาวิดวักอาบตักตวงน้ำในห้วงถึงว่าแล้งไม่แห้งใน เวลาเช้าฟ้าโล่งสี่โมงครึ่งเจ้าคุณจึ่งหยุดพหลพลไพร่ เสพโภชนาหารสำราญใจแล้วยกไปเข้าพงดงวนา ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำบ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา บางแห่งเหลืองสีล้ำดอกจำปาพื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาดด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการบ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวชักหาวนอนบ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตาบ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูดไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลามตลอดตามสองข้างหนทางจร อีกอายว่านอายยาในป่าชิดล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากรกำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล อายพื้นดินนำพาให้อาพาธวิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทนจึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุกช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซานบ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้าดูก็น่าสมเพชสังเวชโข เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติดพระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรงบ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง ฯ ๏ ครั้นออกจากป่าดงพ้นพงชัฏโสมนัสยินดีไม่มีสอง ก็หยุดยั้งฝั่งน้ำลำตะคลองต่างขนของปลงช้างกูบวางราย คนปลูกแต๊นท์สำเร็จโดยเสร็จสรรพเจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผันผาย เข้าพักในร่มแต๊นท์แสนสบายพลนิกายล้อมรอบขอบมณฑล ครั้นรุ่งแสงสุริยาภานุมาศจึ่งประกาศแก่เหล่าชาวพหล จะต้องพักอยู่นี่คอยรี้พลที่เหลือล้นล้าหลังยังไม่มา ซึ่งชาวบ้านอยู่ยังแขวงจังหวัดในดงชัฏล้วนลาวคนชาวป่า เขาก็ชักชวนกันมาวันทาเจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง บ้างเอาส้มหน่วยและกล้วยหวีใจอารีมาคำนับรับสนอง บ้างก็หาพริกผักและฟักทองทำเป็นของกำนัลจัดสรรมา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรองกล่าวคำพร้องถามดั่งจิตกังขา อยู่ในพนมวันอรัญวาเจ้าคิดหากินนั้นด้วยอันใด ซึ่งคนเป็นผู้ดีอย่างมีทรัพย์คะเนนับของเจ้าสักเท่าไหร่ พวกลาวเรียนแอ่ออพูดจ้อไปบ้างวาได้ปีหนึ่งตำลึงเดียว บ้างว่ามีพอหยิบสิบสลึงบ้างว่ามีบาทหนึ่งขอดจนเขียว ที่เศรษฐีอย่างยิ่งมีจริงเจียวตระหนี่เหนียวห้าตำลึงนั้นพึ่งมี ท่านเจ้าคุณได้ฟังคิดสังเวชครั้นแจ้งเหตุพวกลาวชาววิถี คิดสมเพชเวทนานึกปรานีใจอารีแก่คนที่จนจริง ท่านแจกเงินคนละบาทไม่ขาดหน้าลาวที่มานั่งรายทั้งชายหญิง บางคนกลัวจะไม่ได้ใจประวิงไม่นั่งนิ่งลุกขยับมาฉับพลัน ล้วนได้เงินคนละบาทสมมาดหมายทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ บ้างไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้ารำพันอวยพรท่านเจ้าคุณให้บุญมี ฯ ๏ พอรุ่งเช้าเจ้าคุณท่านทำศาลเจ้าปลูกไว้เคียงศาลเก่าริมวิถี พร้อมหลังคาปกปิดมิดชิดดีดูท่วงทีเรือนฝรั่งด้วยช่างทำ วิไลเลิศเฉิดฉายถวายเจ้าอีกรูปเสาวลึงค์ดูขึงขำ ใหญ่โตคะเนตาสักห้ากำสง่าง้ำอยู่ในศาลสะอ้านตา เครื่องบางสรวงเป็ดปูหัวหมูเหล้าถวายเจ้าให้พิทักษ์ช่วยรักษา พวกนายทัพนายกองเนืองนองมาซึ่งบรรดาพลไพร่ได้เอ็นดู ซึ่งโรคภัยอันตรายอย่ากรายกล้ำเจ้าจงบำบัดภัยอย่าให้สู้ ขอจงช่วยบำรุงผดุงชูทุกหมวดหมู่กองทัพจนกลับมา ด้างอยู่นั้นสองวันกับสามคืนพอคนชื่นหายเหนื่อยที่เมื่อยขา ก็ยกซึ่งพยุหบาตรเยื้องยาตราข้ามช้างม้าที่แม่น้ำลำตะคลอง แล้วเดินตามวนาป่าละเมาะชมว่านเปราะพอพ้นหายหม่นหมอง ทั้งว่านแรดว่านช้างว่านยางทองทั้งว่านปล้องว่านปลามหากาฬ มีทั้งว่านเสน่ห์จันทน์ว่านฟันม้าว่านพระยาสามรากว่านสากสาร ว่านนิลเพทเจ็ดศีรษะหนุมานมีทั้งว่านตะง้าวว่านสาวพึง อีกว่านตูมว่านเต่าว่านเฒ่าหง่อมและว่านหอมว่านเห็ดว่านเพ็ชหึง ว่านกำแพงเพชรเจ็ดชั้นสามพันตึงอีกว่านอึ่งว่าคางคกว่านนกยาง ว่านเพ็ดน้อยเพ็ดม้าว่านสาโรชว่านกำโหมดว่านมัวว่านหัวสาง ว่านแพทว่านรภิมอยู่ริมทางว่านกระดางนางกวักว่านจักบัว ว่านเพชสงฆาว่านอาสพว่านบุตรลบมีเป็นจุกสิ้นทุกหัว อีกว่านอุกว่านอาบว่านคราบวัวอีกว่านพลั่วว่านพลวกว่านหมวกคน ว่านอีดำอีแดงแสงอาทิตย์และว่านพิษขึ้นหมู่ฤดูฝน อีกว่านเจ็ดช้างสารว่านกำพลทั้งว่านต้นหลายหลากมีมากนัก ว่านดีดีมีถมน่าชมชิดอยู่ติดติดแลดูล้วนรู้จัก จะวานเพื่อนก็ไม่พบประสบพักตร์นึกแสนรักแลดูหมู่อรัญ คิดคิดจะลงช้างวิ่งวางหาเกรงอาญาเจ้าคุณจะหุนหัน ถ้ามาตรแม้นท่านโกรธทำโทษทัณฑ์นึกหาอันจะรำคาญด้วยว่านยา ฯ ๏ ครั้นถึงพุนกยูงมุ่งเขม้นมิได้เห็นนกยูงฝูงปักษา นกยูงไปไหนนะไม่ปะตาขอเชิญมาตรงนี้ขอพี่ชม ฟ้อนหางให้พี่วายหายกำสรวลช่วยชักชวนพอให้ปลื้มลืมประถม คิดถึงน้องหมองในฤทัยตรมอกระทมอยู่เจียวฉันแต่วันมา ครั้นกองทัพลับพุนกยูงแล้วไม่ผ่องแผ้วเหือดสิ่นถวิลหา ช้างก็เดินโดยทางกลางวนาพระสุริยาบ่ายน้อยคล้อยอำพน ฯ ๏ ถึงนครจันทึกนึกสงสัยเมืองอะไรกลางป่าน่าฉงน ไม่เห็นมีที่อยู่เหล่าผู้คนหรือว่าต้นไม่บังเมืองตั้งไกล ครั้นพ้นท้องทุ่งกว้างมีทางตรงแลเห็นธงปักแพ้วอยู่แหววไหว เขาบอกว่าเสือกินคนฉงนใจเสืออะไรมีอยู่มากฉันอยากยล ถามนายแขวงนายกำนันนั้นเขาว่ากองทัพมาเมื่อหมู่ฤดูฝน มาเจ็บนอนอยู่ในป่ารักษาตนเพื่อนสองคนอยู่รักษาพยาบาล ครั้นว่าฝนตกหนักเพื่อนผลักหนีเจ้าคนเจ็บเต็มทีน่าสงสาร ก็นอนอยู่เอกีราตรีกาลเสือก็คลานเข้าฟัดขบกัดกิน แล้วคนเขาเดินพบอศภเหลือเป็นรอยเสือกัดไว้ยังไม่สิ้น ทำธงปักให้คนเขายลยินว่าตรงถิ่นที่นี่มีรังควาน ซึ่งตัวฉันได้ฟังคิดสังเวชนึกสมเพชมิได้วายหายสงสาร ถ้าแม้นเราเจ็บลงอยู่ดงดาลเป็นอาหารเสือเหมือนเขาอกเราอา ถึงเราเจ็บเจ้าคุณเห็นเป็นไม่ทิ้งเป็นความจริงใช่แสร้งแกล้งมุสา คงไม่ต้องว้าเหว่อยู่เอกาด้วยเรามาริมเท้าแห่งเจ้านาย แต่คนอื่นเป็นไข้อยู่ในทางยังให้ช้างขี่มารักษาหาย แล้วเจ้าคุณสั่งทั่วทุกตัวนายพลนิกายเจ็บจริงอย่าทิ้งกัน ฯ ๏ ครั้นถึงกุดผักหนามเหมือนหนามยอกไม่หลุดออกจากอกวิตกฉัน เฝ้าแปลบปลาบอยู่เช่นนี้ทุกวี่วันโศกกระสันนี้เหมือนหนามยอกตามทรวง ซึ่งหนามผักหนามพงพอบ่งได้หนามในใจสุดจักคิดหนักหน่วง แม้นได้ยลพักตราสุดาดวงหนามคงร่วงหลุดตกจากอกพลัน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งให้ยับยั้งซึ่งพหลพลขันธ์ พลไพร่ตั้งล้อมอยู่พร้อมกันพักอยู่นั่นนอนคืนเช้าตื่นไป ก็คลาเคลื่อนเขยื้อนยาตรคลาดกระบวนดูธงทวนแลเป็นทิวปลิวไสว ก็รีบเร่งพหลพลไกรถึงเขาใหญ่เขื่อนลั่นกั้นหนทาง เดินตามตรอกซอกผาศิลาลื่นไสช้างขึ้นลำเนาภูเขาขวาง ดูสูงเยี่ยมเทียมเวหานภาพางค์เจ้าแม่นางงามสถอต(?)ศักดิ์สิทธิ์ครัน พวกกองทัพนับถือบูชาเจ้าที่เชิงเขาน้อมถวายแล้วผายผัน ขึ้นหนทางดูช้างขึ้นตัวชันอุตส่าห์ดันขึ้นเขาค่อยเทาเดิน ชมพูผาแลเลื่อมเป็นเหลื่อมย่อตะแง้ตะงอเงื้อมชะงักตะพักเผิน บ้างเวิ้งวุ้งรุ้งตะเพิงดั่งเชิงเทินบ้างเป็นเนินลาดเตียนเลี่ยนเป็นลาน เดินช้างข้ามตลอดพ้นยอดเขาช้างก็เหย่าเดินใหญ่ในไพรสาณฑ์ ข้ามดงออกป่ามาไม่นานข้ามท้องธารออกทุ่งฝุ่นฟุ้งทาง ฯ ๏ ครั้นถึงลาดบัวขาวเช้าสังเกตสี่โมงเศษหยุดสำนักพักตามอย่าง เสพโภชนาหารสำราญพลางอยู่ที่หว่างร่มรุกขะเรียงราย เห็นหนองน้ำใหญ่โตมีโกมุทบ้างพ้นผุดจากวนชลสาย น้ำใสสะอาดเย็นมองเห็นกายมัจฉาว่ายอยู่ในวนชลธาร ซึ่งพักอยู่ที่นั่นไม่ทันช้าเสร็จคลาดคลาเคลื่อนพหลพลทหาร เดินดงออกแดนแสนสำราญแล้วลงธารเลยท่าเดินผ่าพง ฯ ๏ ถึงสีคิ้วเหมือนน้องรักของพี่หล่อนเคยสีผึ้งวาดพาดขนง ประจงจัดดัดง้อมน้อมเป็นวงดั่งศรองค์หริรักษ์พระจักรี เห็นเรือนลาวชาวย่านบ้านสีคิ้วเป็นแถวทิวตลอดทางหว่างวิถี เห็นคอกโคเขื่อนรอบเป็นขอบดีกว้างสักสี่ห้าเส้นเห็นวิไล มีทั้งอาวาสสะอาดเอี่ยมปักไม้เสียมเขื่อนเคียงเรียงไสว นี่ใครหนอสามารถประหลาดใจมาสร้างไว้กลางดอนแต่ก่อนกาล แลเห็นที่ทำเนียบประเทียบพักดูคึกคักใหญ่โตรโหฐาน เมืองโคราชเกณฑ์ระดมกรมการในแขวงบ้านทำสำหรับกองทัพชัย พวกกรมการพร้อมพรั่งคอยนั่งรับเชิญเจ้าคุณแม่ทัพพักอาศัย ท่านเจ้าคุณฟังแถลงครั้นแจ้งใจก็สั่งให้หยุดพักสำนักพลัน พวกทหารอยู่รอบริมขอบค่ายพลทั้งหลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ครั้นพลบค่ำย่ำสงพระสุริยันต่างชวนกันหลับนอนผ่อนสบาย ยกกระบัตรท่านจัดให้คนอยู่ทุกหมวดหมู่พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย ตามด้านนอกด้านในทั้งไพร่นายอยู่เรียงรายตามรอบโดยขอบควร เวลาค่ำย่ำยามตามตำหรับผู้ตรวจทัพเดินรอบเที่ยวสอบสวน โดยพิชัยสงครามตามกระบวนดูถี่ถ้วนฟืนไฟระไวระวัง ฝ่ายขันโลกนัยนาโหราเฒ่าแกนั่งเฝ้าดูฟ้าเหมือนบ้าหลัง ฉันร้องถามด้วยเสียงสำเนียงดังว่าท่านนั่งดูอะไรไม่ได้การ แกร้องบอกว่าเปล่าดูดาวเล่นด้วยเห็นเป็นนิมิตผิดสัณฐาน ดาวพระเสาร์กับดาวพระอังคารเห็นพบพานเข้าเคียงอยู่เรียงกัน เหล่าคนอื่นตื่นตรูกันดูหมดเห็นปรากฏตาคนบนสวรรค์ คนตื่นดูมิใช่น้อยสักร้อยพันเจ้าคุณท่านก็ออกข้างนอกดู แล้วถามว่าตาโหรเป็นอย่างไรขุนโลกนัยนาก้มหน้าอยู่ แล้วเรียนตามศึกษาตำราครูที่ได้รู้เรียนมาก็ว่าดี ต่างคนก็กลับไปหลับนอนครั้นทินกรสว่างกระจ่างศรี มิได้ยกพหลโยธีเจ้าคุณมีใจสังเวชสมเพชพล เพราะด้วยว่าล้าเลื่อยยังเมื่อยนักจะต้องพักผ่อนแรงแห่งพหล แรมอยู่นี่เสียอีกคืนพอชื่นตนด้วยผู้คนใช้เขาต้องเอาแรง ฯ ๏ ยังมีผู้มาร้องฟ้องเจ้าคุณว่ากรมการทำวุ่นขึ้นในแขวง ด้วยข้าวสารซื้อหาราคาแพงใจโกงแกล้งเก็บข้าวสารทุกบ้านเรือน ว่าจะไปจำแนกแจกกองทัพทำสับปลับโกงใหญ่ใครจะเหมือน คิดเบียดเบียนผันแปรให้แชเชือนอ้างป้ายเปื้อนกองทัพอัประมาณ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่องบัญชาเยื้องถามไถ่ปราศรัยสาร สั่งขุนศรีกระดาลพลคนชำนาญเป็นตระลาการชำระความถามซัก ท่านขุนศรีคำนับรับบัญชาแล้วออกมาถามไถ่ให้ประจักษ์ กรมการรู้ตัวคิดกลัวนักไม่เยื้องยักสารภาพลงกราบลน ท่านขุนศรีเรียกเอาซึ่งข้าวสารคืนชาวบ้านก็มารับอยู่สับสน ล้วนยกมือไหว้ทั่วทุกตัวคนต่างก็ขนข้าวสารไปบ้านเรือน ฯ ๏ ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันพร้อมกันหมดรู้กำหนดจะคลาลีลาเคลื่อน เหล่าผู้คนพร้อมพรักบ้างตักเตือนชักชวนเพื่อนหุงข้าวแต่เช้ากิน ครั้นรุ่งแสงสุริยาทิพามาศเสร็จเยื้องยาตรรัถาเปล่งราสิน เจ้าพระยาแม่ทัพประดับอินท-ทรีย์เสร็จผินขึ้นช้างสำอางพราว เหล่าพหลพลไพร่น้ำใจคึกบ้างโห่ฮึกอึงลั่นสนั่นฉาว พลรบขบเขี้ยวมาเกียวกราวเสียงฝีเท้าคนเดินแทบเนินพัง แล้วเดินทัพออกทุ่งมุ่งเขม้นเหลียวหลังเห็นกองทัพตอนตับหลัง ยาวเป็นพืดยืดมาประดาดังดูคับคั่งพวกพหลพลนิกร เห็นน่าเพลิดเพลินใจมาในทุ่งกว้างเวิ้งวุ้งแลเด่นเห็นสิงขร ก็ขับช้างเดินผ่าทุ่งนาดอนเร่งรีบร้อนเดินมาไม่ช้านาน ฯ ๏ พอข้ามลำตะคองถึงสองเนินดูน่าเพลินวัดมีพร้อมวิหาร ในใจฉันบันเทิงเริงสำราญเห็นมีบ้านไม่น้อยหลายร้อยเรือน มองเห็นลาวหญิงชายนั่งรายเรียงถือข้าวห่อนั่งเคียงอยู่กลาดเกลื่อน แถวยาวนั่งตั้งจิตไม่คิดเชือนพอช้างเคลื่อนถึงที่ลงอยู่ตรงกัน พอเจ้าคุณคลาไคลออกไปดูลาวก็ชูเหนือหัวบ้างตัวสั่น บ้างก็เรียนว่าของถวายเจ้านายพลันเจ้าคุณท่านเมตตาประชาชน แจกเงินคนละเฟื้องดูเปลืองโขมีมโนศรัทธาหากุศล ชอบทำบุญวณิพกยาจกจนแจกจบพ้นทั่วแล้วทั้งแถวยาว พวกกองทัพรับเอาห่อข้าวเหนียววิ่งกรูเกรียวยินดีเสียงมี่ฉาว แก้ดูกันออกสอข้าวห่อลาวเกลือสินธาวมีอยู่ริมให้จิ้มกิน ก็แรมอยู่ที่นั่นไม่ผันผายเวลาสายสุริยาเปล่งราศิน เช้าสักสามโมงเศษสังเกตชินต่างก็กินข้างปลาหาสบาย กรมการอักโขเมืองโคราชมาเกลื่อนกลาดคอยรับกองทัพหลาย ล้วนแต่หลวงพระทั่วลาวตัวนายต่างผันผายเข้าหาคุณขุนสกล ผู้ว่าที่มาเหจเรทัพให้พานำคำนับจอมพหล ข้างฝ่ายท่านจเรทัพรับยุบลมากราบเรียนโดยนุสนธิ์ตามมีมา ท่านเจ้าคุณยินดีมีประภาษอนุญาตนำเขาเข้ามาหา ข้างท่านจเรทัพรับบัญชาแล้วออกมานำท่านเหล่านั้นไป กรมการถึงพร้อมน้อมคำนับต่อจอมทัพเรียนแจ้งแถลงไข ด้วยพระยากำแหงนั้นแจ้งใจจึ่งใช้ให้มาคำนับรับเจ้าคุณ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ่มจึ่งเยื้อนแย้มตอบพลันไม่หันหุน ภิปรายโปรยบัญชาด้วยการุณขอบใจคุณโคราชประภาษดัง แล้วถามเรื่องไปพบรบอ้ายฮ่อยังเหลือหลออยู่บ้างหรือข้างหลัง กรมการเรียนตามความสัจจังว่าเหลือยังมีน้อยสักร้อยคน แล้วเจ้าคุณแม่ทัพก็กลับถามโดยข้อความที่วิเศษตามเหตุผล การบ้านเมืองเป็นสุขหรือทุกข์ทนซึ่งฟ้าฝนบริบูรณ์หรือสูญทราม กรมการกราบเรียนจำเนียรนึกว่าเกิดศึกราชประเทศเขตสยาม ต้องยกทัพจับฮ่อต่อสงครามไพร่ได้ความยากเย็นเพราะเกณฑ์ไป เสร็จคำขานกรมการก็ลากลับค่อยขยับออกมาหาช้าไม่ ครั้นเวลาพลบค่ำลงรำไรพลไพร่พรักพร้อมนั่งล้อมวง ครั้นเวลาประมาณยามสักสามทุ่มเสียงปืนตูมติดติดพิศวง ท่านขุนสกลสารบาญหาญณรงค์มาปลุกแอตดิกงทั้งสองคุณ ได้ยินอีกเสียงปืนใหญ่ครืนลั่นอัศจรรย์จริงจริงคนวิ่งวุ่น เตรียมปืนใหญ่เอะอะชุลมุนดินกระสุนพร้อมพรักเตรียมคักคึก ท่านยกกระบัตรทัพกำชับคนให้เตรียมตนด้วยว่าเวลาดึก หรือมีปัจจามิตรต่างคิดลึกทัพหน้าพบข้าศึกเสียงลั่นปืน จึ่งใช้มาเร็วไปให้รู้เหตุผิดสังเกตปลุกไพร่ไว้ให้ตื่น เป็นเวลาเที่ยงนางค่ำกลางคืนใช่การอื่นแม้นเลินเล่อจะเผลอตัว กรมการผูกช้างให้มั่นคงจัตุรงค์เตรียมรบอยู่ครบทั่ว ล้วนทะนงองอาจไม่หวาดกลัวบ้างก็หัวเราะชอบจริงอยากชิงชัย สักครู่หนึ่งพอม้ากลับมาบอกเขาจุดดอกไม้พลุประจุใหญ่ บ้านกุดจิกหนทางยังห่างไกลจุดดอกไม้ฉลองวัดเขาศรัทธา ครั้นต่างคนตระหนักประจักษ์แจ่มก็ยิ้มแย้มเกาหัวอวดตัวกล้า คิดว่าอ้ายฮ่อยกทัพวกมาตีกองหน้าเราไม่เว้นจักเล่นมัน ต่างคนก็คืนกลับไปหลับนอนครั้นทินกรพวยพุ่งรุ่งแสงสัน เสร็จเคลื่อนคลายไพร่พลพหลพลันเลยตะบันล่วงตำบลพ้นนิคม ฯ ๏ มาถึงบ้านกุดจิกเห็นจิกต้นนี่บุคคลใดหรือตั้งชื่อสม ไม่สนุกสนานขี้คร้านชมด้วยอารมณ์ฉันร้อนอาวรณ์ครวญ ฯ ๏ มาถึงบ้านสลัดไดเหมือนใจพี่สลัดหนีสลัดนางห่างสงวน เพราะจำเป็นจำใจอาลัยนวลใช่จะหวนใจตัดสลัดจริง ฯ ๏ มาถึงบ้านนครคำเหมือนคำพี่เมื่อพาทีคำพร้องกับน้องหญิง แลเหมือนคำสายสมรแม่วอนวิงกลัวจะทิ้งน้องไว้หาใหม่เชย หล่อนสั่งแล้วสั่งเล่าเฝ้ากำชับไปแล้วกลับมาดีดีหนาพี่เอ๋ย ซึ่งเมียใหม่แล้วอย่าพาลงมาเลยแล้วภิเปรยพูดฉอ้อนวอนรำพัน ฯ ๏ มาถึงบ้านโคกกรวดกรวดระดะในพื้นพระธรณีงามสีสัน น้ำฝนเซาะบางเกาะเป็นหลืบลันเป็นชั้นชั้นน่าชมอารมณ์เฟือน ฯ ๏ ถึงสระกระแบกเหมือนแบกซึ่งความรักเหลือจะหนักอกใจใครจะเหมือน แบกข้าวของเหลือแรงพอแบ่งเบือนหรือวานเพื่อนช่วยแบกแยกออกไป ที่แบกรักหนักใจวางไม่ลงเหลือจะทรงกายตั้งนั่งไม่ไหว เป็นสุดแบกความรักหนักฤทัยประจำใจทรวงพี่ทุกวี่วัน ฯ ๏ ครั้นถึงหนองเป็นน้ำมีน้ำจิตวิปริตแปรปรวนดูผวนผัน นกเป็ดน้ำดีเหลือหนอเนื้อมันในใจฉันอยากกินด้วยยินดี ครั้นรู้สึกนึกพุทโธมโนกรรมคิดจะทำลายสัตว์น่าบัดสี ชีวิตเขาสิเราจะย่ำยีของตัวมีใจรักเขาจักปอง ซึ่งคนเหล่าชาวบ้านแถวย่านนั้นบ้างชวนกันจัดเอาซึ่งข้าวของ บ้างมันต้มจิ้มน้ำตาลใส่พานรองคอยนั่งมองตั้งใจให้เจ้าคุณ เจ้าพระยาแม่ทัพก็รับของชาวบ้านช่องนี่ก็สุดตามอุดหนุน ท่านก็แจกเงินเฟื้องต้องเปลืองทุนท่านทำบุญมิได้ว่างเรี่ยทางมา ฯ ๏ ครั้นถึงบ้านมะขามเฒ่าโตเท่าไหนกับทุกข์ฉันนั้นใครจะโตกว่า หรือมะขามเฒ่าชแรแก่ชราฉันจ้องตามิได้ยลต้นบุราณ ฯ ๏ ครั้นมาถึงเขาลาดอนาถจิตชำเลืองพิศดูประเทศเขตสถาน มีสวนหมากยืดยาวมะพร้าวตาลจะเปรียบปานราชบุรณะดาวคะนอง ๏ ครั้นถึงที่หยุดพักสำนักกว้างก็ปลงช้างผู้คนเข้าขนของ เข้าในแต๊นท์ที่เขาทำไว้สำรองยกจำลองเข้าไปวางอยู่ข้างใน พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดงคนล้อมวงพร้อมเพรียงเรียงไสว นั่งยามตามทำนองก่อกองไฟพลไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ ฯ ๏ ครั้นเช้าตรู่สุริยาส่องอากาศกรมการโคราชมาเป็นตับ ต่างคนก็นอบน้อมเจ้าจอมทัพแล้วคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรองไม่ขัดข้องรังเกียจคิดเดียดฉันท์ แล้วให้เสื้อให้ผ้าพร้อมหน้าพลันบางคนนั้นได้แหวนแสนวิไล กรมการดีใจด้วยได้ลาภต่างคนกราบนบนิ้วอยู่ไสว ครั้นสิ้นแสงสุริโยอโณทัยต่างคนไปที่พักสำนักตัว แรมอยู่นั้นสองวันกับสามคืนพอคนชื่นล้าเลื่อยหายเหนื่อยทั่ว ก็เตรียมคนเตรียมช้างเตรียมต่างวัวมาเตรียมมั่วสุมไว้ในกลางคืน ฯ ๏ ครั้นวันอาทิตย์ขึ้นหนึ่งค่ำเดือนอ้ายพระสุริยฉายส่องฟ้าขึ้นฝ่าฝืน ยกกระบัตรจัดทวนกระบวนปืนต่างก็ยืนคอยอยู่ทุกหมู่กอง ทัพหน้าแล้วก็มาถึงทัพขันธ์เข้ารวมกันประดังอยู่ทั้งสอง ปีกขวาปีกซ้ายก็จัดไว้ถัดรองตามทำนองพยุหบาตรเยื้องยาตรา ล้วนทหารถือปืนยืนสะพรั่งถือโล่ห์ดั้งหลาวแหลนดูแน่นหนา ปืนปื่นพื้นนกสับอันดับมารวมทั้งห้ากองทัพพร้อมสรรพกัน ล้วนสวมเสื้อเขียวแดงแสงระยับพร้อมเสร็จสรรพพหลพลขันธ์ เหล่าตัวนายขี่ช้างพลายตัวสำคัญล้วนแต่กั้นสัปทนทุกคนไป ธงสำหรับนายทัพทั้งหลายนั้นต่างสีสันแลเป็นทิวปลิวไสว บ้างสีเขียวแดงเหลืองเรืองประไพบางคนใช้ต่างสีมีสำคัญ แล้วถึงกองทัพใหญ่วิไลเหลือล้วนสวมเสื้อดีดีต่างสีสัน ยกกระบัตรจัดทัพอันดับกันถึงธงไทยใหญ่สนั่นแดงประทาน แล้วถึงหม่อมราชวงศ์กระจ่างขี่ม้าสะบัดย่างนำทหาร ดูท่วงทีเจนจัดหัดชำนาญล้วนถือขวานฝรั่งทั้งกระบวน แล้วถึงปืนปะเหรี่ยมล้อเทียมลากคนกระชากล้อหันไปผันผวน อยู่เรียงรายข้างทางห่างพอควรแต่แล้วล้วนปืนใหญ่ไสวตา แล้วถึงกองขุนสิทธิ์ติดกระชั้นมีซายันควงกระบองคล่องหนักหนา ทหารแถวสองข้างหนทางมาล้วนถืออาวุธสิ้นดูภิญโญ แล้วถึงกอโปราลภมดูคมขำขี่มานำทหารประมาณโหล คุมปืนแคทะริงกันสนั่นโต้มีเดโชยิ่งกว่าปืนอื่นทั้งปวง แล้วก็ถึงธงทหารสะอ้านแท้ถัดก็แตรขลุ่ยกลองล้วนของหลวง ยกกระบัตรจัดงามตามกระทรวงเดินทักท้วงเตรียมตรวจทุกหมวดกอง แล้วถึงทหารอย่างยุโรปครบทหารงามตระการเสื้อสีไม่มีสอง ทั้งข้างแขนพู่บ่าระย้าทองล้วนแต่ของใหม่ใหม่ได้ประทาน ทั้งตัวนายขี่ม้าอาชาชาติดูองอาจสมกายนายทหาร ประดุจดังยังพยัคฆ์จักทะยานศัตรูพานพ้องพบรบระอา ช้างน้ำมันกอโปราลเกศขี่คอพลายสีดอท่วงทีดีหนักหนา สวมเสื้อยศอย่างทหารประทานมาดูสง่าท่วงทีเห็นดีควร เหล่าทหารเดินข้างช้างเป็นแถวแต่ล้วนแล้วถือปืนยืนอยู่ถ้วน และขุนหมื่นดาบตะพายรายกระบวนตามจำนวนริ้วทัพอันดับมา กระบวนช้างตั้งเชือกเป็นเทือกแถวถัดมาแล้วช้างเขนคเชนทร์กล้า อีกช้างทรงองค์พระปฏิมาแล้วถึงช้างเจ้าพระยากระโจมแดง เหล่าผู้คนคั่งคับอันดับมาขุนบำรุงโยธาตัวเข้มแข็ง คุมขุนหมื่นเหล่าพวกเสื้อหมวกแดงคอยเดินแซงสองข้างหนทางมา สี่เท้าช้างเจ้าคุณคือขุนรักษ์ขุนอินทรภักดีเนื่องอยู่เบื้องขวา ขุนนราจุมพลคนปัญญากับขุนราชเมธาอยู่ซ้ายมือ พวกขุนหมื่นทนายเรียงรายเดินล้วนแต่เชิญสมรสเครื่องยศถือ ใส่เสื้อดำริ้วเข้มดูเต็มลือล้วนขุนหมื่นมีชื่อทุกตัวนาย หลวงพิชัยเสนาสง่าเหลือสอดสวมเสื้อแดงสีมณีฉาย เข็มกลัดคาดสายกระบี่มีตะพายขี่คอพลายประชญมารชาญศักดา กรกุมขอข้อขึงดูผึ่งผายแล้วยักย้ายท่วงทีดีหนักหนา ว่าที่แอดดิกงยงศักดาเผ็นผู้รักษาแม่ทัพรบไพรี แล้วถึงช้างคุณบุตรแอดดิกงสวมเสื้อส่งสดแสงดูแดงสี ขี่ช้างพลายโพยมกระโจมมีดูท่วงทีผุดผาดสะอาดตา แล้วถึงทหารหัดใหม่สไนเด้อร์ไม่เซอะเซ่อท่วงทีดีหนักหนา เดินในทางสองข้างมรคาจ้างมาเป็นนายไม่ร้ายรอง แล้วถึงคุณพลอยกับคุณนิลดูเฉิดฉินท่วงทีดีทั้งสอง ใส่เสื้อดำสักหลาดปักคาดทองดูเรืองรองรจนาโอฬาฬาร แล้วถึงช้างคุณขาวกับคุณพินล้วนขี่คอทั้งสิ้นดูอาจหาญ มือจับขอยอเยื้องเปรื่องชำนาญล้วนเป็นหลานแม่ทัพกำกับพล แล้วถึงกองปลัดทัพดูขับขันพร้อมด้วยพันพวกเหล่าชาวพหล ล้วนแต่ถือเครื่องรบครบทุกคนเสื้อสวมตนต่างต่างสำอางตา แล้วถึงกองยกกระบัตรช่างจัดสรรทหารอย่างวาลันเตียซ้ายขวา ล้วนถือเครื่องอาวุธยุทธนาทั้งปืนผาครบเครื่องกระบวนพล หลวงภักดีขี่คอพลายจักรกรดถือขอจดตั้งใจไม่ฉงน ตั้งขอขึงผึ่งผายหมายประจญเหล่าพหลเดินทางข้างสัตว์โต ถึงกองจเรทัพอันดับมาทหารหน้าท่วงทีเห็นดีโข สวมเสื้อดำเฉิดฉินดูภิญโญล้วนใส่หมวกกะโล่ผ้าขาวคลุม ตัวขุนสกลสารบาญจเรทัพขี่คอพลายประดับแก้วโกสุม ดูผายผึ่งขึงข้อมือขอกุมก็ควบคุมเหล่าพหลพลฉกรรจ์ ถึงกองซีเกร็ตตอรี่ที่เสมียนสำหรับเขียนหนังสือมือขยัน ใส่เสื้อริ้วทองสวยหมดด้วยกันดูเฉิดฉันแลพิศสนิทเนียน ขุนวิสูตร์เสนีขุนศรีกระดาลพลทั้งสองคนขวาซ้ายนายเสมียน ตามยกกระบัตรจัดพลไม่วนเวียนด้วยว่าเขียนฉลากไว้ปักไม้ราย แล้วถึงท่านขุนอินทรวิเชียรชาติขุนพรหมราชปัญญาโยธาหลาย ยังขุนศรภักดีมีอีกนายขุนสัจจวาทีรายอยู่รวมกัน ล้วนแต่คุมทหารกองด้านในขุนหมื่นไพร่ยกกระบัตรช่างจัดสรร เหล่าพหลล้นหลามมาครามครันล้วนถือมั่นอาวุธยุทธนา กองหลังถัดหลวงจัตุรงค์นั้นขี่คอพลายกุมภัณฑ์คเชนทร์กล้า ดูท่วงทีองอาจประหลาดตาคุมโยธากองหลังตั้งกระบวน ขุนนราฤทธิไกรผู้ใจอาจขี่คอพลายสีประหลาดงามผาดผวน รูปขำคมสมทหารชำนาญทวนเห็นสมควรท่วงทีมีศักดา ขุนพิชัยชาญยุทธ์ก็สุดใจขี่คอพลายประลัยดูแกล้วกล้า สมควรเป็นกองหลังตั้งปีกกาอยู่เบื้องขวาเบื้องซ้ายเรียงรายกัน ท่านหลวงทรงศักดาก็กล้าหลายขี่ช้างพลายทองแดงเข้มแข็งขัน คุมทหารด้านนอกหอกทั้งนั้นถือปืนสั้นใหญ่น้อยหลายร้อยคน ซึ่งขุนสัตยากรผ่อนลำเลียงกองเสบียงคุมกระบวนล้วนพหล ทั้งโคต่างช้างมีพร้อมรี้พลสำหรับขนจัดจบครบกระบวน ดูนายกองนายทัพอันดับมาพรรณนาจัดสรรไม่ผันผวน บ้างถือหอกพู่ขาวถือง้าวทวนถือง้าวญวนถือตรีกระบี่ยาว ฯ ๏ ครั้นว่าได้พิชัยฤกษ์แล้วก็คลาดแคล้วโยธีเสียงมี่ฉาว ยิงปืนฤกษ์สัญญานัยน์ตาพราวสองหูร้าวด้วยเสียงสำเนียงปืน เสียงคนเดินราวกับเนินจะโทรมทรุดดั่งมหาสมุทรเกิดลมคลื่น เหล่าทหารเริงร่าเฮฮาครืนเพียงพ่างพื้นธรณินแผ่นดินพัง ตัวฉันอยู่ท้ายช้างเหมือนอย่างเคยเฝ้าแหงนเงยเชยชมอารมณ์หวัง ดูเรือนบ้านรายเรียงเคียงประดังเห็นคับคั่งคนดูอยู่ริมทาง คนแก่สาวนั่งเป็นหมู่ฉันดูทั่วล้วนรูปชั่วตัวดำปี๋เหมือนผีสาง ถึงที่ขาวดูเหมือนลาวไม่สำอางเห็นรูปร่างป๋อหลอฉันงองัน ฯ ๏ ถึงวัดแจ้งเห็นเขาแต่งประตูป่าไว้คอยท่ากองทัพดูขับขัน ยายมดท้าวนั่งเคียงอยู่เรียงรันคอยทำขวัญขับผีป่าหน้าประตู ยายคนหนึ่งตีโทนโยนจังหวะเสียงจ้ะจ้ะตุ้มตุ้มฟังกลุ้มหู เครื่องสังเวยเรียงรายตัวยายครูออกนั่งอยู่หน้าคนบ่นพึมพำ พอเจ้าคุณเดินมาถึงหน้าฉานกรมการเรียนตามเนื้อความขำ เชิญเจ้าคุณลงช้างอย่างบุรำโดยมีทำเนียมการเพศบ้านเมือง พอช้างเหยียบประทับเข้ากับเกยเจ้าคุณมิได้เฉยค่อยย่างเยื้อง ลงนั่งที่พรมปูดูชำเลืองเขาจะเปลื้องผีป่านั้นท่าไร ซึ่งยายมดบอกขยดให้เหยียดท้าวเอาด้วยขาวลากฟาดตวาดไล่ แล้วผูกกรทำขวัญคุ้มกันภัยก็เลยให้ศีลพรบทกลอนดี เสร็จสรรพเจ้าคุณขึ้นสู่ช้างแล้วลีลามาในทางหว่างวิถี เข้าในประตูป่าไม่ราคีสองข้างมีสงฆะประน้ำมนต์ ฯ ๏ ถึงโพธิ์กลางสองข้างมีโรงร้านขายโตกพานเชี่ยนขันและพรรณผล ทั้งของกินเครื่องใช้ฉันได้ยลเหล่าฝูงคนนั่งดูเป็นหมู่กัน เห็นตึกทาฝาแดงทุกแห่งหนหลังข้างบนมุงแฝกแปลกแปลกขัน ล้วนตึกดินดิบต่อมาก่อกันข้างฝ่ายชั้นล่างหลังคาเขาทาดิน ชมลูกสาวชาวโคราชไม่ผาดผิวช่างขี้ริ้วไม่ตำหนิแกล้งติฉิน จะหายสวยสักคนไม่ยลยินจนหมดสิ้นย่านทางโพธิ์กลางมา ฯ ๏ ถึงสามสักยักแยกมาเบื้องซ้ายคนเรียงรายนั่งดูอยู่หนักหนา เห็นโรงผู้หญิงคนชั่วดูทั่วมาเหมือนหญิงข่าไม่น่ารักเลยสักคน มาประเดี๋ยววกเลี้ยวซ้ายมือแว้งเห็นกำแพงโคราชสูงผาดโผน แม้นข้าศึกหมายจะมาประจญซึ่งจะปล้นเมืองได้เห็นไม่มี ด้วยกำแพงสูงมีสักสี่วาดูแน่นหนาคึกคักเป็นศักดิ์ศรี ซึ่งข้างนอกกำแพงวุ้งแวงดีล้วนแต่มีคูรอบขอบสีมา มีเชิงดินชั้นนอกห้าศอกสูงแม้นมีฝูงปรปักษ์เรารักษา เพียงเชิงเทินชั้นนอกออกประดาศัตรูอย่าเข้าไปถึงในคู เมืองโคราชกว้างใหญ่มิใช่น้อยข้าศึกเพียงสิบร้อยเห็นพอสู้ เมืองใหญ่โตทำไมมีสี่ประตูหอรบอยู่ข้างบนชอบกลดี ฯ ๏ ถึงทำเนียบค่ายพักสำนักอยู่ด่านประตูท่าน้ำทำถ้วนถี่ อยู่ริมกับอารามสามัคคีทำเนียบมีเขื่อนค่ายปลูกรายเรียง สำหรับเจ้าคุณมีสี่ห้าหลังพร้อมหอนั่งเรือกรั้วครัวเฉลียง ทิมทหารรอบล้อมดูพร้อมเพรียงแถวระเบียงหอนั่งตั้งนอกชาน ที่ลูกทัพนายกองเสร็จเจ็ดแปดหลังมีพร้อมพรั่งโรงยาวเหล่าทหาร ข้างเจ้าคุณเทียบเกยไม่เลยนานกรมการคอยรับคำนับพลัน ทหารปืนยืนรายทั้งซ้ายขวาทหารหน้าหทารหลังช่างขยัน นายใหญ่บอกปรีเซนต์เป็นสำคัญก็พร้อมกันยกปืนยืนคำนับ เจ้าคุณค่อยประจงลงจากเกยแล้วก็เลยขึ้นหอนั่งยั้งสดับ กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับนั่งคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน พอหยุดพักอยู่นั่นสองวันครบเจ้าพระยาปรารภจะผายผัน นายทัพนายกองมาพร้อมหน้ากันไปอภิวันท์เทพารักษ์เจ้าหลักเมือง พร้อมนายทัพนายกองมาซ้องแซ่ท่านเจ้าคุณขี่แคร่ไม้ลายเหลือง พร้อมนายทัพนายกองตามนองเนืองเสร็จย่างเยื้องเข้าไปในประตู ครั้นถึงศาลอารักษ์พระหลักเมืองพร้อมด้วยเครื่องบูชาไก่ปลาหมู ทั้งบายศรีซ้ายขวาน่าเอ็นดูเสร็จแล้วบูชาเจ้าทั้งเหล้ายา แล้วเรียกคนขลุ่ยกลองกระบองควงแกว่งบวงสรวงอารักษ์เป็นหนักหนา ทั้งต่อยมวยรำละครฟ้อนบูชาพิณพาทย์สาธุการประสานตี ครั้นเสร็จสรรพก็กลับมาทำเนียบไม่เงียบเชียบต่างเปรมเกษมศรี ฝูงพหลพลนิกายสบายดีบห่อนมีเจ็บป่วยพร้อมด้วยกัน ฯ ๏ เมื่อวันหนึ่งเจ้าคุณจึ่งออกจากหอนั่งพร้อมสะพรั่งนายพหลพลขันธ์ จึ่งปรึกษาไต่ถามเนื้อความพลันว่าวันนั้นเข้าไปที่ในเมือง เห็นเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดกลางทำลายร้างอยากบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง จึงหันหน้าปรึกษาท่านเจ้าเมืองก็พูดเยื้องชักเชือนบิดเบือนไป เพราะว่าในเมืองนี้สุดที่คิดด้วยปูนอิฐไม่มีอยู่ที่ไหน เจ้าคุณฟังยุบลเป็นจนใจก็มิได้ตอบความตามยุบล เจ้าพระยาจอมนิกรอาวรณ์ตรึกการทัพศึกสารพัดจะขัดสน ไม่ทราบเรื่องหนองคายร้ายกังวลต้องแต่งคนไปสืบตามความระแวง จึงให้ท่านขุนวิสูตร์เสนีนายซีเกร็ตตอรี่คนเข้มเข็ง ไปสืบการหนองคายที่ร้ายแรงมาให้แจ้งข้อความตามกระบวน ให้ขุนพินิจนิกรนั้นไปด้วยจะได้ช่วยกันลอบไปสอบสวน กับนายทัตคนลาวชาวเมืองพวนรู้ถี่ถ้วนนำร่องไปหนองคาย ให้ขุนสัตยากรไปขอนแก่นสืบให้แม่นอย่าให้เฟือนในเงื่อนสาย กับอุปฮาดไปช่วยด้วยอีกนายซึ่งแยบคายขอนแก่นคงแม่นยำ เป็นอุปฮาดอยู่ก่อนเมืองขอนแก่นในแว่นแคว้นไล่เลียงไม่เพลียงผลำ ควรให้ไปสืบส่อเอาข้อคำเพราะว่าชำนาญใจในหนทาง แล้วสั่งเบิกช้างให้ใส่เสบียงให้พอเพียงสารพัดไม่ขัดขวาง ทั้งเงินทองจัดให้ไปใช้พลางกระโจมข้างเลือกคัดดูจัดเอา ขึ้นหกค่ำเดือนอ้ายห้านายนั้นกำหนดวันที่จะไปมิได้เศร้า ออกจากที่ตนพักสำนักเนาไปตามเจ้าคุณบัญชาไม่ช้าวัน ฯ ๏ ถึง ณ วันเดือนอ้ายขึ้นแปดค่ำได้จดจำแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ เห็นผู้คนช้างม้าลงมาพลันพระวิชิตณรงค์นั้นคุมฮ่อมา พวกกองทัพรู้จริงบ้างวิ่งสอมาดูฮ่อพร้อมพรักคนหนักหนา อ้ายพวกฮ่อใส่คอตะโหงกคาคนรักษาเดินกลุ้มคอยคุมตัว เจ้าพวกฮ่อเหล่านี้ล้วนขี่แคร่เจ้าพวกลาวหามแย่ยิ่งเจ้าสัว กองทัพฝ่ายเราว่าไม่น่ากลัวตัวต่อตัวแล้วไม่หนีฟันตีกัน บ้างว่าฮ่อรูปนี้กระจิริดสักสามคนก็ไม่คิดจะพรึงพรั่น ไม่มีจิตคร้ามกลัวเห็นตัวมันต่างคนสันต์สรวลเสเสียงเฮฮา ฯ ๏ ท่านเจ้าคุณให้ไปขอฮ่อมาถามให้คนล่ามมั่นคงส่งภาษา นายเสมียนเขียนความตามบัญชาฮ่อหนึ่งมาให้ความตามกระบวน ว่าเป็นจีนเกิดยังเมืองกวางตุ้งใจมาดมุ่งเลี้ยงชีวิตไม่ผิดผวน มาค้าขายในเขตประเทศญวนไปเมืองพวนแล้วเยื้องไปเมืองลา ก็หากินโดยยุติสุจริตเลี้ยงชีวิตมุ่งหมายขายของป่า อ้ายพวกฮ่อยกทัพจับเอามาจนเวลาทัพไทยไปเอาตัว จีนล่ามถามต่อฮ่อคนไหนมันชี้ใส่ว่าคนนั้นไม่ผันผวน คนนั้นว่าข้าเป็นลาวชาวเมืองพวนให้การล้วนข้อรับจับเอามา นี่ก็เจ๊กนั่นก็ลาวชาวเมืองพวนโน่นก็ญวนนุงนังน่ากังขา ให้ล่ามถามทั้งหมดจดวาจาเที่ยวถามหาฮ่อคนไหนมิได้มี ก็มิได้จดจำคำทั้งหลายครั้นบ่ายชายแสงพระสุริยศรี สักห้าโมงสังเกตเศษนาทีตราพระราชสีห์มีขึ้นมา จึ่งประชุมลูกทัพนายกองพร้อมมานั่งล้อมเรียงรายทั้งซ้ายขวา ฉันผนึกออกอ่านซึ่งสารตราแจ้งกิจจาโดยความตามคดี ในบังคับกองทัพให้ยับยั้งรอคอยฟังเหตุการณ์ตามสารศรี อยู่นครราชเสมาอย่าช้าทีแล้วห้ามมิให้เยื้องไปเมืองบน อ้ายพวกฮ่อนั้นยังก่อรังแกหรือพ่ายแพ้สืบให้แจ้งทุกแห่งหน จักนายทัพนายกองสักสองคนที่ชอบกลเป็นผู้ใหญ่เข้าใจการ ไปสืบเรื่องเมืองหนองคายจะร้ายดียังเหลือมีข้าศึกที่ฮึกหาญ แม้นกองทัพหลวงพระบางทางเชียงคานจะเข้าราญรอนประจญตำบลไร มีหนังสือรีบรัดมานัดหมายจงผันผายขึ้นไปช่วยด้วยจงได้ ตระเตรียมยกซึ่งพหลพลไกรรีบขึ้นไปอย่าให้ขาดราชการ ฯ ๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้งประดิษฐ์แต่งความตอบระบอบสาร โดยถ้วนถี่สารพัดไม่ทัดทานแล้วส่งเจ้าพนักงานให้ถือมา ครั้นสำเร็จเสร็จพร้อมจอมพหลจึ่งแต่งคนนึกมองตรึกตรองหา จะได้ผู้ใดดีมีปัญญาสืบกิจจาหนองคายเอารายงาน จะต้องทำตามดั่งข้อบังคับจึ่งปรึกษานายทัพนายทหาร จะได้ใครไปดีที่ชำนาญไปสืบการหนองคายคือนายใด เห็นแต่ว่าพระยาพิชิตณรงค์ค่อยมั่นคงจะเห็นเป็นไฉน นายทัพคำนับน้อมต่างพร้อมใจคนอื่นไปไม่เสร็จสำเร็จมา ท่านเจ้าคุณอารีท่านมีจิตพระยาวิชิตณรงค์นั้นหนักหนา จึ่งจัดเสบียงให้ใจเมตตาอีกทั้งผ้าขนยาวห่มหนาวนอน พระยาวิชิตณรงค์บรรจงรับน้อมคำนับด้วยศิโรสโมสร แล้วหมอบราบกราบก้มประนมกรกล่าวสุนทรโดยความตามอัชฌา ขอขุนนราฤทธิไกรนั้นไปด้วยแม้นเจ็บป่วยได้พิทักษ์ช่วยรักษา เป็นวงศ์วานหลานชิดสนิทมาพอเห็นหน้าเพื่อนไปในหนทาง เจ้าพระยาอนุญาตตามคาดหมายกล่าวอถิปรายตามสัตย์ไม่ขัดขวาง มิได้มีแหนงจิตคิดระคางด้วยไว้วางใจแท้เห็นแน่นอน พระยาวิชิตณรงค์ประสงค์สมตามนิยมภิญโญสโมสร เสร็จจะลาคลาไคลครรไลจรมาที่ผ่อนเคยพักสำนักตน ฯ ๏ ครั้น ณ เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำเป็นวันกำหนดฤกษ์เลิกพหล พระยาวิชิตณรงค์ไม่วงวนก็กรีพลมาดหมาดหนองคายพลัน เดินเป็นกระบวนมาหน้าทำเนียบดูเรียงเรียบเหล่าพหลพลขันธ์ ขุนนราฤทธิไกรใจฉกรรจ์ก็ผายผันตามไปในกระบวน เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรองเสร็จส่งกองทัพขันธ์ไม่ผันผวน ฯ ๏ เมื่อวันหนึ่งฟั่นเฟือนจำเคลื่อนคลาดเจ้าเมืองอุปฮาดเข้าผายผัน เอาม้าแดงช้างดำมากำนัลอุปฮาดเมืองสุวรรณภูมิมา หลวงสารสิทธิ์ผู้นำเข้าคำนับท่านเจ้าคุณออกรับด้วยหรรษา ซึ่งช้างม้าที่มาให้ไม่นำพาเป็นแต่ว่าขอบใจที่ให้เรา ท่านคืนช้างม้าไปให้เจ้าของไม่หมายปองอยากได้ของใครเปล่า ถึงว่าของสิ่งไรท่านไม่เอาแม้นที่เหล่าคนชอบรับตอบแทน ซึ่งกองทัพตั้งแต่มาหลายราตรีเหล่าโยธีบ้างเป็นสุขบ้างทุกข์แสน ด้วยไข้คงติดมาในป่าแดนดูหนาแน่นชุกชุมตายสุมไป บางคนไม่ตายหายมีแรงกินของผิดสำแลงก็ตักษัย บ้างกินกล้วยน้ำว้าพุทราไปแต่พอใส่ถึงคอชักงองัน บ้างก็กินลูกสมองอก่อม้วยบ้างกินกล้วยอ้อยแล้วอาสัญ กินของสิ้นชีวิตผิดผิดกันฝูงคนบรรลัยรุมชุมสุดใจ ได้มีบัญชีนามจดตามเหตุคนร้อยยี่สิบเศษม้วยตักษัย ตั้งแต่ยกหมายมุ่งจากกรุงไกรคนตายได้ร้อยเศษสังเกตจำ ซึ่งตัวฉันหฤทัยหัวใจสะท้อนเห็นคนนอนครางอยู่ดูออกสำ คิดถึงตัวกลัวตายกายระกำเฝ้าแต่ร่ำโหยไห้อาลัยวอน ยามหนึ่งคิดถึงตัวกลัวความไข้ยามสองให้คะนึงถึงสมร ยามสามคิดรำคาญถึงมารดรยามสี่นอนคิดถึงญาติแทบขาดใจ เป็นอย่างนี้เจียวฉันทุกวันคืนบ่มีชื่นเศร้าหมองไม่ผ่องใส โศกถึงมิตรคิดถึงญาติแทบขาดใจเหลือหทัยที่ทุกข์คงจุกตาย แสนระกำช้ำกายเสียดายโฉมเสียดายเชยเคยประโลมไม่ห่างหาย ไม่ห่างเหเสน่ห์นุชจะหยุดอายจะหยุดเว้นเป็นอย่าหมายว่าจักมี ว่าจะม้วยเสียด้วยเพราะความเศร้าเพราะความโศกโรคเร้าหม่นหมองศรี หม่นหมองทรวงโอ้แม่ดวงสุมาลีสุมาลัยของพี่อย่าไกลตา อยู่ใกล้ตัวเพราะผัวมาห่างห้องมาห่างเห็นเว้นน้องไห้โหยหา ไห้โหยหวนครวญคร่ำไม่นำพาไม่น่าพึ่งหนึ่งว่าจำใจจร โอ้อกเอ๋ยเคยแอบประคองอุ่นหอมกลิ่นกรุ่นสาเรแก้วเกสร เสียดายดวงพวงพุ่มอุทุมพรมาไกลกรมิได้กอดประคองเชย สงสารสร้อยเสาวคนธ์จะมลหมองจะเฝ้าร้องไห้หานิจจาเอ๋ย ใครจะช่วยปลอบปลื้มให้ลืมเลยเหมือนพี่เคยประคองน้องนิทรา เวลาดึกตรึกตรองถึงน้องสาวอนาถหนาวเนื้อหนังเย็นมังสา เมืองโคราชเหลือล้นพ้นปัญญาหนาวยิ่งกว่าบางกอกยอกทั้งตัว ห่มผ้าปิดเหมือนหนึ่งว่าห่มผ้าเปียกมันเย็นเยียกหนาวยวดจนปวดหัว หนาวอัปรีย์หนาวระยำพอค่ำมัวมันเย็นทั่วสารพางค์นอนครางฮือ ต้องสวมเสื้อสามชั้นไว้กันหนาวทั้งถุงเท้าเกือกซื้อลงนอนซื่อ กางเกงสามชั้นนุ่งสวมถุงมือตัวหนักตื้อหมวกผ้าปิดหน้าตึง แต่อย่างนั้นไม่กันความหนาวได้มันหนาวในตับปอดตลอดถึง ผ้าห่มสุมคลุมซ้อนนอนตะบึงคิดรำพึงใจอนาถไม่คลาดคลาย [กลอนตรงนี้สัมผัสขาด] ถ้ารู้ที่ว่าไม่มีข้าศึกรบคงหาครบซื้อสรรค์เครื่องกันหนาว หมายจะได้ชิงชัยกันใหญ่ยาวจนถึงคราวฉุกเฉินคิดเกินไป ด้วยกลัวว่าผ้าเสื้อจะเหลือมือจึ่งหาซื้อจัดหาเอามาไม่ ถ้าแม้นว่ารู้แท้เป็นแน่ใจว่าพวกไอ้สลัดบกมันยกมา เที่ยวปอกลอกทองพระไปถลุงการรบพุ่งห่สู้จักจะหนักหน้า ซึ่งเครื่องหนาวสารพัดได้จัดมาไม่ซื้อหาก็เพราะการประมาณเกิน บุญคุณคิดขุนสนิทอักษรนุ่มให้เครื่องคุ้มกันหนาวเมื่อคราวเฉิน ขอให้เขาสวัสดีมีจำเริญสรรเสริญคุณเขาทุกเช้าเย็น ป้องกันหนาวนอกเนื้อเขาเกื้อหนุนเพราะบุญคุณพ่อนุ่มพอคุ้มเข็ญ แต่น้ำจิตมิได้วายคลายลำเค็ญบ่วางเว้นมีสุขเฝ้าทุกข์ทน ฯ ๏ ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพเมื่อยับยั้งท่านก็ตั้งปรารถนาหากุศล ด้วยศึกเสือนั้นไม่มีพักรี้พลชักชวนคนก่อสร้างทางนิพพาน เจดีย์ใหญ่วัดกลางร้างชำรุดยังโทรมทรุดล้มทอดตลอดฐาน ไม่มีใครศรัทธาล้มมานานจะประมาณนับยิบหลายสิบปี ท่านเจ้าคุณมีใจอยากใคร่สร้างพระเจดีย์วัดกลางเป็นศักดิ์ศรี จะซื้ออิฐปูนใครที่ไหนมีไม่รู้ที่แห่งหนตำบลเลย ท่านก็เที่ยวสืบถามตามชาวบ้านด้วยหวังการจริงจริงไม่นิ่งเฉย เฝ้าสืบเสาะหาแห่งตำแหน่งเคยท่าภิเปรยถามไถ่มิได้วาย จิตศรัทธาอาจิณไม่สิ้นสูญครั้นอิฐปูนได้สมอารมณ์หมาย มีผู้มาบอกแจ้งไม่แพร่งพรายว่ามากหลายบริบูรณ์อิฐปูนมี อยู่ถึงทางหนองกะบกวัดโคกพรมอิฐเผารมแก่ไฟงามได้สี เจ้าคุณทราบระบิลแสนยินดีจึงป่าวร้องโยธีทุกหมวดกอง บอกคุณเหล่าพหลไปขนอิฐต่างคนคิดยินดีไม่มีหมอง คานสาแหรกจัดไว้ใส่สำรองต่างคนปองเอาบุญไม่ขุ่นเคือง ฯ ๏ ครั้นแรมสิบสามค่ำ ณ เดือนอ้ายเวลางายสุริยาส่องฟ้าเหลือง พวกกองทัพโห่ร้องไปนองเนืองทั้งชาวเมืองพลอยไปอยากได้บุญ บ้างก็หาบก็หามตามถนัดล้วนแต่ศรัทธาชื่นทั้งหมื่นขุน ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีสกุลชุลมุนแบกอิฐไม่คิดอาย พวกกองทัพชาวเมืองขนเนืองแน่นยกอิฐแผ่นใส่บ่าแบกหน้าหงาย ล้วนแต่งตัวกรุ้งกริ้งทั้งหญิงชายทั้งสาวแส้แม่หม้ายก็มีมา ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดกันห่มสีสันสุกแสงออกแดงจ้า ทั้งพระเถรเณรชีมีศรัทธาสู้อุตส่าห์ขนอิฐน้ำจิตทน ทั้งเกวียนล้อโคลากไปมากหลายดูเรียงรายเต็มหลามตามถนน ทั้งแรงโคแรงควายนิกายพลไปหาบขนอิฐแผ่นแน่นหนทาง ล้วนสรวลสันต์บันเทิงระเริงรื่นเฮฮาครืนมิได้อายระคายหมาง ทั้งเจ๊กไทยมอญลาวสาวสำอางขนอิฐมาวัดกลางดูเกรียวกราว คนชาวเมืองพร้อมใจทั้งไทยจีนออกทรัพย์สินซื้ออาหารข้าวสารขาว ต้มเลี้ยงคนขนอิฐด้วยคิดยาวทั้งของคาวหวานเค็มเต็มศรัทธา สองวันเสร็จลงมือรื้อจับขุดด้วยของเก่าชำรุดอยู่หนักหนา พบกรุซึ่งบรรจุของนานาทั้งรูปพระปฏิมาเงินทองคำ จึงเอาพระเงินทองของบุราณมอบให้พระอธิการอุปถัมภ์ จงเก็บให้มิดชิดปกปิดงำแล้วให้ทำที่กรุบรรจุลง ฯ ๏ เจ้าพระยาจอมทัพจะจับงานแล้วตรึกการโดยจิตคิดประสงค์ ในบาลีมีตามเนื้อความตรงพระพุทธองค์บัญญัติอธิบาย ว่าผู้ใดจะสร้างทางกุศลไม่ป่าวร้องฝูงคนสิ้นทั้งหลาย แม้นว่าใครศรัทธาเอกากายไม่ป่าวร้องหญิงชายประชาชน ได้แต่โภคสมบัติพัสถานบริวารสมบัตินั้นขัดสน แม้นป่าวร้องนำจูงเหล่าฝูงคนบันดาลดลพบพ้องสองศฤงคาร ท่านคิดเห็นโดยงามตามทำนองจึ่งป่าวร้องทั่วประเทศเขตสถาน ราษฎรชาวนิคมกรมการจังหวัดบ้านเมืองโคราชประกาศไป ให้ปราศจากอามิสมาติดเทียนตามทำเนียมโดยศรัทธาอัชฌาสัย กำหนดนัดความแจ้งไม่แคลงใจให้มาในวัดกลางสร้างศรัทธา ฯ ๏ ครั้นวันขึ้นสิบสองค่ำจำคดีในเดือนยี่สัจจังไม่กังขา ตะวันบ่ายชายแสงพระสุริยาเป็นเวลากำหนดที่จะมีการ ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจอมพหลเชิญพระทนต์พระจอมเกล้าเจ้าสถาน พร้อมด้วยเหล่ากระบวนแห่แลละลานไปมีงานสมโภชใหญ่ในวัดกลาง นิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศเขตนครมาสดับปกรณ์ตามแบบอย่าง เหล่าพระสงฆ์ดีใจไม่ระคางถึงหนทางไกลนั้นไม่พรั่นพรึง พระชราฐานาสมภารวัดก็แต่งจัดเหล่าพระครูไว้หมู่หนึ่ง ถวายปัจจัยถ้วนล้วนตำลึงพระสงฆ์ซึ่งลูกวัดไว้ถัดรอง ถวายปัจจัยงามตามทำเนียมพระสงฆ์เปี่ยมยินดีไม่มีสอง นิมนต์หมดบ้านเมืองมาเนืองนองได้รับของไทยทานสำราญใจ ฯ ๏ ฝ่ายเจ้าจอมโยธามีปราโมทย์ท่านสมโภชพระทนต์พ้นวิสัย จัดเหล่าพวกกองทัพโดยฉับไวมาเล่นโขนโรงใหญ่ได้อย่างดี พร้อมทั้งเครื่องเรืองรองทองระยับสร้างเสร็จสรรพงามงดแสงสดสี ทั้งโรงโขนใหญ่ปลูกผูกคิรีโตยาวมีกว้างขวางสำอางตา โขนเล่นเรื่องก่อนวันนอนโรงเล่นพิธีอุโมงค์ดีหนักหนา ครั้นว่าดึกสองยามตามสัญญาก็เลิกลาโรงกลับมาหลับนอน ฯ ๏ ครั้นว่ารุ่งสุริยาท้องฟ้าแดงก็เตรียมแต่งกระบวนแห่แลสลอน เชิญพระบรมทนต์เสร็จเสด็จจรไปสดับปกรณ์อีกเวลา โขนก็เล่นตามเรื่องแต่เบื้องหลังเมื่อวิรุญจำบังออกอาสา พวกคนดูพรูพรั่งประดังมาคนชราแก่สาวมากราวกรู ชาวบ้านนอกขอกนามาออกฮือแจ้งข่าวลือแน่ใจไม่ไขหู หนทางเดินสองคืนตื่นมาดูเพราะไม่รู้จักโขนโยนอย่างไร คนชราอายุเจ็ดสิบเลยยังไม่เคยดูเห็นเป็นไฉน บ้างหาเสบียงอาหารด้วยบ้านไกลล้วนตั้งใจมาดูออกกรูเกรียว ล้วนสาวสาวชาวป่าก็มาสิ้นทาขมิ้นล้นเหลือจนเนื้อเขียว อยากดูโขนอย่างยิ่งจริงจริงเจียวบ้างจูงเหนี่ยวลูกหลานมาลานลน สัปปุรุษคั่งคับออกทรัพย์สินติดข้าวบิณฑ์เบี้ยศรัทธาหากุศล เข้าส่วนสร้างพระเจดีย์ตามมีจนออกสับสนตั้งจิตมาติดเทียน ครั้นเล่นโขนถ้วนตามครบสามวันรวมเงินพันบาทมีบัญชีเขียน สัปปุรุษมาพร้อมน้อมจำเนียรเงินติดเทียนที่วัดล้วนศรัทธา จึงได้เงินพันบาทยังขาดไปพระเจดีย์องค์ใหญ่เป็นหนักหนา แต่โดยสูงถึงเส้นนับเป็นวาเจ้าพระยาจอมทัพรับออกทุน แม้นเงินใช้ไม่พอก่อเจดีย์ท่านรับเป็นกงสีออกเกื้อหนุน สร้างเจดียฐานเป็นการบุญท่านเจ้าคุณรับสำเร็จโดยเสร็จการ ฯ ๏ แรมสิบเอ็ดมิได้เคลื่อนในเดือนยี่ขุนวิสูตรเสนีสืบข่าวสาร ที่ไปเมืองหนองคายเอารายงานแจ้งราชการข่าวทัพแล้วกลับมา เขากราบเรียนพณะหัวจอมพหลโดยเหตุผลที่สัจจังไม่กังขา แล้วนำคนชาวเวียงชื่อเชียงทาเป็นหลวงราชรักษาสุเรนทร ท่านเจ้าคุณออกยังหอนั่งรับเหล่านายทัพพร้อมพรั่งนั่งสลอน ทั้งกรมการนายทัพคำนับกรหลวงราชสุเรนทรก็ให้การ ว่าเดิมพวกอ้ายฮ่อมาก่อเหตุในประเทศราชทำอาจหาญ ทั้งจีนลาวญวนสมทบเข้ารบราญคนประมาณหลายร้อยไม่น้อยตัว เหล่าพวกลาวยั่นฮ่อไม่ต่อสู้ต้องเข้าทูเงินเสียทั้งเมียผัว ที่ไม่มีเงินให้มีใจกลัวเหมือนควายวัวยอมให้ฮ่อใช้การ อ้ายฮ่อเก็บเงินทั่วทุกครัวลาวเรือนละเก้าหกเจ็ดตำลึงหวาน ฮ่อเขียนหนังสือให้ใส่กระดานเรียงว่าไม้บางบ้านสำหรับตัว พวกฮ่อเห็นหนังสือลงชื่อเขียนไม่เบียดเบียนคิดยั่นมันสั่นหัว ไม่คุมเหงคะเนงร้ายเกรงนายกลัวตลอดทั่วบ้านลาวพวกเข้าทู อ้ายพวกฮ่อเรียงรายตั้งค่ายมั่นย่อมแข็งขันยิ่งยวดเป็นหมวดหมู่ ไม้ระเนียดเรียงรายทำค่ายคูมันตั้งอยู่มากมายหลายตำบล ราชบุตรหนองคายนั้นใช้ข้าไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล ข้าก็จะสืบตามไปสามคนลอบไปจนแจ้งความตามกระบวน กลับมาบอกอุปฮาดราชบุตรจนสิ้นสุดที่ได้ลอบไปสอบสวน บัดนี้ทัพอ้ายฮ่อที่ก่อกวนมันเกือบจวนยกปองมาหนองคาย ในวันนั้นคืนนั้นมันจะมาซึ่งตัวข้ารู้หมดกำหนดหมาย ราชบุตรรู้แจ้งไม่แพร่งพรายเกณฑ์พหลพลนิกายหัวเมืองมา เกณฑ์คนเก้าร้อยไว้ไม่ได้ครบได้พลรบสามร้อยน้อยหนักหนา ราชวงศ์ราชบุตรสุดปัญญาก็ตรึกตราการสู้หมู่ไพรี ครั้นลาวมากอยู่ข้างฟากเวียงจันท์เก่าต้อนให้เข้าเมืองหนองคายกลัวนายหนี แล้วเก็บชายฉกรรจ์บรรดามีแล้วซ้อมสีข้าวลำเลียงเสบียงพล บ้านละสิบหยิบเอาห้ารักษาครัวล้วนมีตัวส่งลำเลียงเลี้ยงพหล ราชบุตรจัดโยธีที่มีตนแล้วยกพลข้ามฟากไปปากทาง ตั้งคอยรับทัพฮ่อไม่ย่อยั่นหาที่มั่นตั้งท่าปีกกากว้าง จัดคนรักษาการในด่านทางแล้วไว้วางกองซ่อนคอยรอนราญ ครั้นเดือนแปดแรมสี่ค่ำได้จำข้อพวกอ้ายฮ่อพร้อมพรักเข้าหักหาญ ได้รบราฆ่าฟันประจัญบานลาวต้านทานทัพฮ่อไม่รอรา ราชวงศ์ยกหลีกตีปีกซ้ายราชบุตรยักย้ายตีปีกขวา พวกอ้ายฮ่อยิงปืนโครมครืนมาช้างพลายกล้าต้องปืนวิ่งตื่นไป คือว่าช้าวผู้ช่วยเมืองหนองคายเป็นน้องชายราชบุตรฉุดไม่ไหว ช้างพลายกล้าต้องปืนตื่นตกใจลงขอไม่ยั่งยืนตื่นกระจาย ซึ่งกองทัพราชบุตรไม่หยุดแยกก็วิ่งแตกหลบลี้บ้างหนีหาย เหล่าไพร่พลซานซมบ้างล้มตายก็แตกพ่ายหนีฮ่อไม่ต่อกร ทัพฮ่อบากละจากราชบุตรเข้ายงยุทธราชวงศ์ตรงไม่ถอน อาวุธสั้นเข้ารุมตะลุมบอนฮ่อตีต้อนล้อมรอบเป็นขอบคัน กองราชวงศ์เจ้าเมืองหงสาสถิตสิ้นชีวิตสูญชีวาถึงอาสัญ ตายอยู่ในที่รบได้พบกันไพร่พลนั้นล้มตายวายชีวี ราชวงศ์เหลือกำลังก็พังแยกลาวตื่นแตกข้ามลำแม่น้ำหนี พลลาวยั่นพรั่นฮ่อไม่ต่อตีต่างหลบหนีข้างของมาหนองคาย ราชบุตรสุดท้ออ้ายฮ่อมากจะข้ามฟากมาได้ดั่งใจหมาย ไพร่พลเรายับย่อยเหลือน้อยกายจึ่งยักย้ายผ่อนครัวทั่วทุกกอง มาพักไว้หนองหาญติดการต่อแต่งคนยอกำลังเมืองทั้งสอง ให้มาช่วยสงครามตามทำนองได้รับรองทัพฮ่อพอประทัง ครั้นได้ทัพขอนแก่นเมืองภูเวียงมาพร้อมเพรียงโดยสมอารมณ์หวัง ราชบุตรดีใจได้กำลังจึงคิดตั้งรักษาอยู่หน้าเมือง แล้วต้อนครัวลาวที่หนีเข้าป่าให้เข้ามาคืนถิ่นเสร็จสิ้นเรื่อง ราชบุตรจัดการในบ้านเมืองมิให้เคืองขุ่นใจแก่ไพร่พล ฯ ๏ ครั้นเจ้าเมืองหนองคายผายผันกลับถึงเสร็จสรรพโยธาเหล่าพหล กลับมาแต่ฝ่ายเบื้องเมืองอุบลก็จัดคนขึ้นรักษาหน้าเชิงเทิน พวกหนึ่งถูกให้ไปปลูกทำเนียบคอยที่ทุ่งโพนช้างน้อยการฉุกเฉิน รับพระยามหาอำมาตย์ไม่ขาดเกินการไม่เนิ่นจวนเวลาไม่ช้านาน แล้วขับต้อนลาวครัวทั่วทั้งสิ้นให้คืนถิ่นตามตำแหน่งแห่งสถาน มาสีข้าวไว้อย่าขาดราชการทำข้าวสารมามายไว้จ่ายคน เมื่อวันหนึ่งพระยามหาอำมาตย์หัวเมืองอื่นดื่นดาษมาสับสน เสร็จถึงเมืองหนองคายพร้อมนายพลออกเกลื่อนกล่นพร้อมพรั่งไพร่คั่งคับ ราชบุตรราชวงศ์เมืองหนองคายต่างผันผายมาฟังสั่งสดับ ยังพระยามหาอำมาตย์ท่านแม่ทัพมาคำนับให้แจ้งที่แคลงใจ ข้างท่านพระยามหาอำมาตย์จึ่งถามราชบุตรตามความสงสัย ซึ่งรบฮ่อปากทางนั้นอย่างไรมึงจึงได้แตกมาดูน่าอาย ไม่คุมพี่ป้าน้าสาวและอาวอาจงก้มหน้าสิ้นชีวิตอย่าคิดหมาย ตั้งปรับโทษทัณฑ์มึงให้ถึงตายแล้วส่งนายเพชฌฆาตให้ฟาดฟัน ตัดหัวเสียบประจานร่าไว้หน้าเวียงแม้นใครดูอย่างเยี่ยงต้องอาสัญ ครั้นรุ่งขึ้นหลายเวลาสี่ห้าวันก็เตรียมกันพร้อมไว้เหล่าไพร่พล จึ่งเข้าเมืองหนองคายใช้ให้ข้าสืบกิจจาให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ ข้าก็ไปสืบความพร้อมสามคนเข้าไปจนค่ายวัดจันไม่พรั่นพรึง ให้ทิดลุนขึ้นบนต้นน้อยแหน่เห็นพวกฮ่อซ้อแซ้บ้างนอนขึง บ้างสูบฝิ่นเล่นไพ่ใส่กันอึงข้าเจ้าจึ่งแอบดูเหล่าผู้คน พวกอ้ายฮ่อไม่รักษาอยู่หน้าที่ล้วนแต่ขี้เซาหลับอยู่สับสน ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทัพกำกับพลดูชอบกลผิดในพิชัยสงคราม อ้ายพวกฮ่อปองปองทองพระพุทธพระเจดีย์มันก็ขุดทำหยาบหยาม ข้าพเจ้าลอบดูครั้นรู้ความกลับมาตามฝั่งน้ำคืนค่ำมัว เห็นเรือฮ่อทิ้งทอดจอดอยู่ท่าไม่มีผู้รักษาทั้งท้ายหัว จอดอยู่ชิดชิดกันไม่พันพัวแลดูทั่วเรียงรายหลายสิบลำ ข้าพเจ้าจึ่งแฝงเฝือตัดเรือปล่อยเรือก็ลอยตามละลอกแลออกลำ ด้วยค่ายไทยคับคั่งตั้งประจำอยู่ใต้น้ำตัดเรือปล่อยลอยลงไป ครั้นสืบการเสร็จสรรพข้ากลับมาพระยาประทุมเทวาก็ถามไถ่ ข้าให้การทุกสิ่งตามจริงใจตามที่ได้ยินแก่หูรู้แก่ตา ฯ ๏ ครั้นกองทัพหัวเมืองถึงพร้อมหมดจึ่งกำหนดการศึกคิดปรึกษา จะใคร่ตีค่ายฮ่อต่อศักดาทั้งด้านหน้าด้านในจัดไพร่พล กองพระพรหมยกกระบัตรเมืองโคราชนั้นองอาจกำลังหนุ่มคุมพหล ไปตีค่ายสี่สถานริมชานชลจัดแจงคนฉุกเฉินไม่เนิ่นนาน สมทบกองทัพลาวและท้าวเพี้ยมิได้เปลี้ยใจพลั่นคิดหยันหย่อน แต่ล้วนคนชำนาญเคยราญรอนเหล่านิกรโยธีเคยมีชัย ตัวพระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพนั้นก็รับด้านหน้าท่าน้ำไหล จะตีทัพเรือกระทบรบเข้าไปจัดแจงไว้เสร็จตามโดยความควร ฯ ๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดขึ้นค่ำ(?)นัดกำหนดพร้อมทั้งหมดเตรียมกันไม่ผันผวน ตัวพระพรหมยกกระบัตรจัดกระบวนยกทัพสวนเข้าไปล้อมรบพร้อมกัน เข้าตีค่ายสี่สถานทหารแยกรบฮ่อแตกทิ่งค่ายหนีผายผัน อ้ายฮ่อหนีเข้าในค่ายวัดจันทัพไทยไล่กระชั้นติดตามมา ซึ่งพระยาโคราชไม่หวาดไหวตีค่ายใหญ่สี่สถานหาญหนักหนา อ้ายพ่อฮ่อย่อยยับจึ่งกลับมาต่างหนีพากันไปค่ายวัดจัน กองพระยาโคราชก็อาจหาญเข้าล้อมด่ายใต้รบดูขบขัน กองพระพรหมยกกระบัตรก็จัดกันล้อมตั้งมั่นด่านเหนือเห็นเหลือดี พระยายกกระบัตรจัดคนเข้าปล้นค่ายพังทลายฮ่อแหกแตกวิ่งหนี เข้าในโบสถ์วัดจันด้วยทันทีประตูมีมันก็ปิดคิดอุบาย รื้อกระเบื้องขึ้นบนฝ้าหลังคาโบสถ์มันยิงปืนลูกโดดพิฆาตหมาย มาถูกกองทัพไทยขาดใจตายต้องทำค่ายระเนียดตั้งบังลูกปืน กองทัพไทยพรั่งพร้อมล้อมอ้ายฮ่อไม่ย่นย่อตั้งหน้าเข้าฝ่าฝืน เหล่าพวกพลโห่โหมเสียงโครมครืนล้วนแต่พื้นพลรอบขอบกำแพง ทั้งทัพไทยลาวเข้าล้อมอยู่พร้อมเพรียงอยู่จนเที่ยงสุริยาส่องจ้าแสง เห็นเรือแหยบหลังกันยาหุ้มผ้าแดงข้ามพายแซงจอดยังฝั่งชลา สักครู่หนึ่งกลับเรือเมื้อสำนักไม่ประจักษ์ว่าผู้ใดใจกังขา ข้าจึ่งถามพลไพร่เรือใครมาเห็นหลังคาแดงฉาดประหลาดใจ เขาบอกว่าเรือพระยามหาอำมาตย์ข้าหลวงราชพิศวงไม่สงสัย ครั้นว่าค่ำสุริโยอโณทัยฝนตกใหญ่พรมพรำในค่ำคืน พวกอ้ายฮ่อเปิดโบสถ์กระโดดหนีแผลงฤทธีแกล้วกล้าฟันฝ่าฝืน กองทัพไทยไล่วิ่งบ้างยิงปืนอ้ายฮ่อตื่นหนีได้ทั้งไพร่นาย พระยายกกระบัตรจัดไพร่ตามไปจับได้รบรับฮ่อแหกวิ่งแตกหาย บ้างจับได้ตัวเป็นที่เดนตายทั้งหญิงชายกองทัพจับมาตาม ทั้งทองลิ่มเงินตราเครื่องอาวุธทั้งปืนชุดหอกดาบเก็บหาบหาม ทั้งม้าเมียม้าผู้ดูงามงามทำสงครามมีชัยจับได้มา ต่างมอบให้พระยามหาอำมาตย์ของประหลาดมากจริงหลายสิ่งสา เสมียนทำบัญชีมีบรรดาทั้งเงินตราข้าวของทองตระการ พวกนายทัพต้องรับสาบานบอกว่ามิได้ยัยอกพัสถาน ต่างคนกระทำสัตย์ปฏิญาณก็สิ้นคำให้การความสัตย์จริง ฯ ๏ เจ้าพระยาจอมทัพสดับชัดให้เสมียนเขียนคัดสั่งนายสิ่ง ระดมเสมียนมาอย่าประวิงเขียนอย่าทิ้งตกซ้ำคำให้การ ครั้นสำเร็จเสร็จส่งลงบางกอกกับใบบอกเมืองลาวแจ้งข่าวสาร ซึ่งในเมืองหนองคายทราบรายงานซุ่ง(?)ภัยพาลมิได้มีไพรีรอน ส่งไปกราบทูลพระกรุณาตามเลขาลายจำหลักคำอักษร กรมการรับหมดบทจรจากนครราชสีมาเร่งคลาไคล ฯ ๏ ครั้นเดือนยี่แรมแปดค่ำมีกำหนดได้จำจดมั่นคงไม่สงสัย พอท้องตรามาถึงอีกนึ่งใบพลไพร่บันเทิงเริงสำราญ หมายใจว่าท้องตราให้หากลับคนกองทัพปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ ด้วยหนองคายวายศึกนึกประมาณไม่มีการคงหาทัพกลับนคร เหล่าไพร่พลกองทัพมาคับคั่งอยากจะฟังท้องตราหน้าสลอน เหมือนสัตว์นรกหมกไหม้ในไฟฟอนที่รนร้อนเหลือกำลังประทังตน เหมือนเห็นพระมาลัยเสร็จเสด็จมาปรารถนาจะให้โปรดประโยชน์ผล สัตว์นรกวิ่งแซ่มาแจจนเหมือนไพร่พลกองทัพที่คับใจ ครั้นฉีกผนึกออกอ่านซึ่งสารตราบังคับมาความแจ้งแถลงไข ว่าเมืองหนองคายนี้ไม่มีอะไรสิ้นจากภัยอ้ายฮ่อมาก่อกวน แต่ว่าทางเมืองเหนือยังเหลือหลอยังมีฮ่อแว่นแคว้นแดนเสฉวน มาตั้งค่ายรายเนื่องอยู่เมืองพวนเขตแดนญวนมากมายหลายตำบล แล้วให้เจ้าพระยามหินทร์เคาน์ซิลลอร์ให้พักรอทัพตั้งฟังนุสนธิ์ ให้รวบรวมพร้อมไว้เหล่าไพร่พลจงปรือปรนตั้งใจระไวระวัง แม้นทัพเจ้าพระยาภูจะจู่โจมเข้าหักโหมชิงชัยเหมือนใจหวัง มีหนังสือมาขอต่อกำลังอย่ารอรั้งรีบยกทัพบกไป อย่าคอยฟังท้องตราจะช้าเนิ่นการฉุกเฉินอย่าพะวงคิดสงสัย จงรีบยกขึ้นไปช่วยด้วยไวไวเป็นอย่าให้เสียขาดราชการ ฯ ๏ อ่านท้องตราสำเร็จจบเสร็จสรรพพวกกองทัพที่มาฟังนั่งขนาน ต่างคนต่างรู้จะอยู่นานต้องทรมานทรมาคิดอาวรณ์ ต่างคนโศกเศร้าบ้างเหงาหงอยล้วนหน้าจ๋อยเสียใจฤทัยทอน ซึ่งตัวฉันแจ้งใจดังไฟฟอนตามลมร้อนอยู่ในใจรำคาญ ฯ ๏ เดือนยี่แรมสิบเอ็ดค่ำจะร่ำเรื่องบ้านเจ้าเมืองเหลือสนุกโกนจุกหลาน พี่นี้จะดูเขาทำน่ารำคาญเสมือนการมหรสพครบลำเนา ปลูกเขาไกรลาสใหญ่ที่ในสระมีที่พระสวดมนตร์บนภูเขา สี่สิบองค์สวดสำเนียงเสียงไม่เบาที่บนเหย้าบนเรือนสวดเหมือนกัน มีขารำสำเหนียกเรียกกะแจะตบมือแปะทะลึ่งโลดกระโดดขัน เจ้าผู้ชายรำล่อดูงองันพิณพาทย์นั้นโทนกับปี่ตีกันอึง ท่านเจ้าเมืองคิดเห็นให้เป็นสุขเชิญเจ้าคุณตัดจุกคำนับถึง เป็นมงคลนับถือไม่ดื้อดึงเจ้าคุณจึ่งไปเหย้าตามเขาเชิญ เอาละครกองทัพไปเล่นช่วยพวกละครมิได้ขวยสะเทินเขิน เล่นในการโกนจุกสนุกเกินคนดูเพลินกระไรเลยไม่เคยดู การละเล่นอื่นอื่นมีดื่นบ้านทั้งเพลงการแอ่วลาวลั่นสนั่นหู เวลาค่ำสนธยาหน้าประตูดอกไม้รุ่งมีอยู่เขาจุดไฟ ดอกไม้กระถางรายตั้งจุดปังโปงจุดพลุโพลงตึงลั่นเสียงหวั่นไหว ดอกไม้เทียนพุ่งจุดสะดุดใจแสงสุกใสสว่างกลางนภา ไฟพะเนียงเสียงลั่นสนั่นคึกคะโครมครึกอึงหูดังซู่ซ่า ทั้งดอกไม้ช้างร้องช่องสทาดอกไม้ม้าวิ่งถนนคนกระจาย ทั้งอ้ายตื้อและตะไลโคมลอยลิ่วลมพัดปลิวเทียมฟ้าดูหน้าหงาย ครั้นดอกไม้ไฟจุดพอหยุดงายครั้นรุ่งสายสุริยาทิวาการ คนโกนจุกเดินไปเขาไกรลาสตีพิณพาทย์บรรเลงวังเวงหวาน ยิงปืนต้นสับสนอลมานเสียงสะท้านสะเทื้อนสะเทือนกาย ครั้นเมื่อจะตัดจุกเขาคุกคามคนร้องห้ามปากเสียงสำเนียงหาย ห้ามพิณพาทย์มิให้ตีมีระคายครั้นโกนแล้วผันผายเบญจาพลัน เหล่าพระสงฆ์ทุกองค์ตักน้ำสาดคนเกลื่อนกลาดล้วนมือจับถือขัน ต่างคนตักน้ำสาดพัลวันเข้าช่วยกันรดน้ำทำชอบกล คนโกนจุกเสร็จมาผลัดผ้าสีกลับนุ่งผ้าขาวนี้น่าฉงน ต้องนุ่งขาวสามวันมันเต็มทนแจ้งยุบลน่าหัวร่อให้งองัน หรือทำตามเพศลาวชาวบ้านนอกผิดบางกอกจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์ ซึ่งประดิษฐ์คิดคำกล่าวรำพันจริงทั้งนั้นมิได้แกล้งมาแต่งการ ฯ ๏ ฝ่ายว่าพณะหัวจอมพหลเห็นไพร่พลไม่มีสุขสนุกสนาน ล้วนง่วงเหงามิได้มีที่สำราญจึ่งคิดอ่านแก้ไขในปัญญา จัดละครเล่นสนุกแก้ทุกข์ทนเห็นไพร่พลพร้อมกันด้วยหรรษา ต่างคนต่างแก้ทุกข์สนุกตาบ้างเฮฮาเอิกเกริกเบิกสบาย พวกชาวเมืองต่างดูมากรูกราวทั้งแก่สาวพรั่งพรูมาดูหลาย ทั้งเด็กเดินเด็กวิ่งพร้อมหญิงชายตะเกียกตะกายชักพากันมาอึง พวกละครตัวดีมีฝีมือได้ฝึกปรือซ้อมประสมเล่นคมขึง พวกสาวชาวโคราชหวาดคะนึงเสียงกลองตึงเป็นต้องมาตั้งตาดู ลางอนงค์จงภักดิ์รักละครมาหลับนอนตามยศไม่อดสู พวกละครไม่อดอยากซึ่งหมากพลูล้วนจับคู่ได้เมียเสียทุกคน พวกละครน้อยตัวไม่ทั่วสาวต่อยืดยาวทั้งกองทัพดูสับสน ล้วนมีชู้คู่ทั่วทุกตัวตนผู้หญิงยลรักงามติดตามมา ที่ผู้ดีหาที่รักตามศักดิ์สูงที่เหล่าฝูงหญิงโคราชทาสทาสา ก็รักพวกนิกายฝ่ายโยธาติดตามมาอยู่กันออกพันพัว หญิงโคราชแสนสวาทพวกกองทัพอยากขยับจะใคร่ได้เป็นผัว ที่มีลูกสาวแซ่ฝ่ายแม่กลัวต้องคุมตัวซ่อนเร้นเป็นโกลา ที่บางคนมีบ่าวเป็นสาวแส้ลั่นกุญแจโซ่ใหญ่ต้องใส่ขา กลัวกองทัพนั้นจักไปลักพาต้องรักษาบ่าวไพร่ไม่สบาย ข้างเจ้าเมืองโคราชให้หวาดไหวกลัวบ่าวไพร่ลูกเมียจะเสียหาย จะตามพวกกองทัพไปลับกายเกณฑ์ผู้ชายนั่งยามตามประตู ตั้งระวังยิ่งยวดเป็นกวดขันด้วยพวกกองทัพนั้นมาเที่ยวอยู่ จะลอบรักเมียน้อยคอยเล่นชู้มิให้หมู่กองทัพลอบลับมา ฯ ๏ วันหนึ่งค้นได้เสื้อหมวกพวกกองทัพในห้องหับหม่อมตัวโปรดโกรธหนักหนา ท่านพระยากำแหงแผลงศักดาชำระหาแม่สื่อคือผู้ใด ซึ่งได้ผ้ากับหมวกพวกกองทัพสองสำรับนี้หวามาแต่ไหน ถามหม่อมปลั่งตัวรักซักว่าใครเอามาให้กับมึงจนถึงมือ หม่อมอึดอัดซัดป้ายนายทหารได้ว่าวานอีพุ่มรู้เป็นผู้ถือ ท่านพระยาโคราชตวาดอือหมวกผ้าหือเอามาไว้ทำไมกัน หม่อมเรียนตามจริงจิตจะคิดหนีแปลงอินทรีย์เป็นผู้ชายลอบผายผัน พระยาโคราชเตะตบเข่นขบฟันสั่งผูกพันอีพุ่มเฆี่ยนเจียนชีวัน อีพุ่มให้การชัดแล้วซัดใส่หลวงอะไรท่านมาหาดีฉัน ให้เอาเสื้อหมวกดำเป็นสำคัญนำผายผันมาให้หม่อมของพร้อมเพรียง ท่านพระยาโคราชตวาดอึงร้องเหม่น้อยหรือมึงจนสุดเสียง เตะอีพุ่มกลุ้มกลมลุกล้มเอียงอีพุ่มเพียงบรรลัยขาดใจตาย แล้วใส่ตรวนขานกยางลูกยางโตซ้ำสวมโซ่กลัวจะลี้หลบหนีหาย สั่งคนคุมอีพุ่มอยู่เรียงรายทั้งหญิงชายพิทักษ์พร้อมพรักกัน เจ้าเมืองนำเสื้อหมวกพวกกองทัพมาร้องกับพระยาราชเสนานั่น พระยาราชเสนารับมาฉับพลันแล้วกล่าวกลั่นจดหมายตามรายความ มากราบเรียนพณฯ หัวจอมพหลตามเหตุผลชู้สาวที่กล่าวถาม ในเรื่องราวมีหมดปรากฏนามให้เจ้าเมืองติดตามมากราบเรียน เจ้าพระยาแม่ทัพรับหนังสือกรายกรถืออ่านความตามเกษียน สดับเรื่องเบื้องต้นดูวนเวียนเห็นผิดเพี้ยนเหลือคิดในจิตแคลน ด้วยหญิงหนึ่งมาดหมายผู้ชายสองเหมือนวันทองครั้งเบื้องเรื่องขุนแผน ซึ่งเรานั้นต้องพันวสาแทนก็สุดแสนที่ถวิลตัดสินความ จึ่งบัญชาถามนายฝ่ายทหารจงให้การโดยจริงสิ่งที่ถาม ด้วยเรื่องราวกล่าวฉลุระบุนามจงแจ้งตามจริงใจหมวกใครมี นายทหารคำนับรับบัญชากราบเรียนว่าเสื้อหมวกพวกที่นี่ ของเก่ากระนั้นไซร้มิได้มีไม่เหมือนอีพุ่มซัดความสัตย์จริง เจ้าพระยาแม่ทัพกลับประภาษถามพระยาโคราชไปทุกสิ่ง ซึ่งจะให้ชำระความตามประวิงต้องขอตัวผู้หญิงมายืนยัน แม้นจะให้สำเร็จแล้วเด็ดขาดให้เจ้าเมืองโคราชคิดผ่อนผัน ส่งตัวคนกลางมาได้ว่ากันโดยเที่ยงธรรม์ยุติธรรมคำหารือ นี่ซัดเขาเขาไม่รับจับไม่ได้เป็นจนใจชำระความตามหนังสือ หรือใครจับเสื้อผ้าได้คามือจะผูกถืออย่างไรการไม่ควร แม้นจะให้สำเร็จความเท็จจริงส่งตัวหญิงมาจึ่งชอบให้สอบสวน พระยาโคราชได้ฟังนั่งเรรวนทำหน้าม้วนเหมือนอย่างงูนางอาย หนังสือพระยาราชเสนากล่าวหาฟ้องความข้อสองปรากฏในจดหมาย พวกกองทัพหมกมุ่นทำวุ่นวายเที่ยวลักนายพาบ่าวของเขาไป ล้วนหญิงทาสชาวนิคมกรมการบ่าวชาวบ้านเชยชิดพิศมัย พวกกองทัพลักพามาร่ำไปอยู่ที่ในเขื่อนค่ายมากหลายคน เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่องว่าชาวเมืองตามกองทัพมาสับสน เป็นสุดจะห้ามใจของไพร่พลล้วนเต็มทนพลัดพรากมาจากเมีย หญิงสมัครรักชายเรื่องรายนี้เป็นสุดที่ปราบปรามห้ามเขาเสีย หญิงก็อยากชายก็ยั่วจึ่งปัวเปียต่างคลอเคลียรักใคร่ใจของมัน ถึงว่าตัวเรานี้หากมีศักดิ์เป็นสุดจัดยอกย้อนคิดผ่อนผัน หาไม่ก็เที่ยวไปพามาเหมือนกันเขาเต็มกลั้นจะห้ามปรามอย่างไร ด้วยหญิงมันสมัครรักผู้ชายจึงหนีหายพยายามตามวิสัย แม้นกองทัพลักพาบ่าวข้าใครใจต่อใจมันพร้อมยินยอมกัน ให้เจ้าเงินมาร้องฟ้องเถิดนะจะชำระให้จริงทุกสิ่งสรรพ์ ทาสชาวบ้านที่มีสารกรมธรรม์ทั้งสองนั้นรักใคร่ไม่เรรวน จะคิดเงินค่าตัวให้ยอมใช้ทุนมิให้ขุ่นเคืองจิตทำผิดผวน ทั้งนอกกรมในกรมให้สมควรเร่งชักชวนกันมาร้องฟ้องต่อเรา ล้วนนายทัพนายกองมานองเนืองคอยชำระความเรื่องบ่าวทาสเขา ใครเร่งมาร้องความตามสำเนาล้วนว่างเปล่าค่อยจะชำระความ ตกพนักงานของฝ่ายกองทัพจะคอยรับชำระให้อย่าได้ขาม แม้นบุตรสาวของผู้ใดพอใจงามวิ่งแร่ตามกองทัพมาหลับนอน ก็สุดแม่พ่อจะยอยกการจะตกลงกันจัดผันผ่อน ต้องชำระเป่าปัดคิดตัดรอนมิให้ราษฎรเคืองรำคาญ ถ้าแม้นชายพวกมากลากไปฉุดซึ่งบ่าวบุตรข้าทาสทำอาจหาญ คงจะตัดสินความให้ตามการซึ่งชายพาลอย่างนี้ไม่มีใคร ท่านเจ้าคุณจงหวังสั่งเสมียนให้มาเขียนตามบัญชาที่ปราศรัย ตอบพระยาราชเสนาจะว่าไรคนถือหนังสือไปให้แกดู พระยาโคราชบาดหมางระคางเขินใจสะเทิ้นแสนระทดจิตอดสู ด้วยหาเขานั้นผิดติดประตูหมองนิ่งอยู่ฟังถามความทั้งปวง เพราะหาโทษเขานั้นไม่มั่นคงครั้นจะส่งเมียมาแก่ข้าหลวง พิจารณาว่าความตามกระทรวงก็หึงหวงสุดปัญญาเลยลาไป ครั้นรุ่งขึ้นระบือลือกันกลุ้มว่าอีพุ่มหนีไม่รู้ไปอยู่ไหน บ้างว่าเขาฆ่าตายมันหายไปต่างสงสัยหนักหนาพูดจากัน เรื่องหนีนั้นขัดขวางไปทางไหนคนระวังระไวตรวจเป็นกวดขัน นายประตูนั่งยามก็ครามครันเป็นหลายชั้นตามช่องด้อมมองมี ตรวนก็โตโซ่ก็ใหญ่มิใช่หยอกจะตัดออกเห็นไม่ไหวมันไม่หนี เจ้าเมืองฆ่ามันตายวายชีวีครั้นเป็นผีสิ้นชีวิตแล้วปิดบัง คนในจวนพูดชุมว่าอีพุ่มหนีข้างคนนอกว่าเอาผีไปซ่อนฝัง ต่างคนต่างลือระบือดังการก็ยังไม่แท้แน่ข้างใคร ความก็เรียบค่อยเงียบสงบหายไม่แพร่งพรายต่างพินิจคิดสงสัย ไม่มีผู้รู้แท้หนึ่งแน่ใจก็เงียบไปวายคนสนทนา ฯ ๏ ครั้นวันหนึ่งทราบความตามกระแสซึ่งท้องตรามาแท้ไม่กังขา ข้อประกาศแก่พระยาราชเสนาให้มีตราประกาศหมายเมืองรายทาง ห้ามมิให้ซื้อข้าวให้ท้าวเพี้ยหยุดซื้อเสียเหลือจงเข้าคงฉาง พวกเรารู้แจ้งใจไม่ระคางด้วยไว้วางจิตแท้เป็นแน่ใจ มิให้ซื้อข้าวกล้องจ่ายกองทัพคงได้กลับมั่นคงไม่สงสัย คนทั้งหลายหมายแน่เซ็งแซ่ไปด้วยจะได้กลับบ้านถิ่นฐานตน ต่างก็เตรียมข้าวของทั้งกองทัพคิดว่ากลับแน่ใจไม่ฉงน คอยรอฟังท้องตราถ้วนหน้าคนเป็นกังวลสืบสาวถามข่าวไป บางคนก็ไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิงทำสุงสิงพากันมาหวั่นไหว ไม่ว่าเหล่าบ่าวทาสบังอาจใจแม้นรักใครลักพากันมาอึง ข้างชาวเมืองตามร้องฟ้องกันวุ่นจนเจ้าคุณทราบต่อหูได้รู้ถึง เขามาร้องตรองตรึกนึกคำนึงคิดรำพึงผ่อนผันเป็นฉันใด ท่านเจ้าพระยาจอมพหลกังวลหนักด้วยเรื่องลักพากันมาหวั่นไหว บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงพิชัยประกาศไปปิดประตู้รอบบุรี แม้นหญิงทาสชายพามากองทัพให้บอกกับพระชัยบูรณ์และขุนศรี กะดานพลโดยตามความคดีว่าหญิงหหนีตามมาสัจจาจริง กำหนดสามวันรู้ให้ผู้ชายจงห่อเงินไปถ่ายค่าตัวหญิง แม้นไม่มีเงินตราอย่าประวิงส่งตัวหญิงคืนไปให้กับนาย อย่าให้ป่วยการงานหน่วงนานวันถ้าดื้อดันจะทำโทษตามกฎหมาย ทั้งกองทัพรู้แจ้งไม่แพร่งพรายต่างยักย้ายผ่อนผันด้วยปัญญา ขืนลักพาข้าเขาเข้ามาไว้ล้วนเงินไปติดตัวชั่วหนักหนา ส่งตัวหญิงคืนไปไม่นำพาเจ้าเงินเล่าเขาด่าทำโทษทัณฑ์ ซึ่งอย่างนี้มีชุมเกลื่อนกลุ้มหนักหญิงเฝ้ารักผู้ชายตาผายผัน นายเขาเฆี่ยนก็ไม่ขามอยากตามกันดูมันขันยิ่งชุมมารุมไป ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งประกาศทั้งกองทัพบังคับไข ว่าทีหลังใครอย่าพาซึ่งข้าไทห้ามมิให้ลักพาซึ่งนารี ถ้าผูกรักใคร่กันจงผันผ่อนวางเงินเขาเสียก่อนอย่าชวนหนี แม้นขืนจักลักพาฝืนวาทีจะต้องมีโทษทัณฑ์ตามบัญชา ฯ ๏ ถึงเดือนสามแรมแปดค่ำได้จำคืนพ่อจมื่นตำรวจใหญ่ชัยภูษา เสร็จจึงถึงนครราชสีมาเชิญท้องตราราชสีห์มีสำคัญ กับดอกไม้ไฟสำหรับรบทัพเจ๊กและกรวดเล็กเรี่ยวแรงฤทธิ์แข็งขัน อีกดินปืนที่ยัดปัศตันหลายร้อยพันสำหรับกองทัพมา ล้วนของหลวงทรงประทานท่านเจ้าคุณดินกระสุนของอื่นเครื่องปืนผา ถึงที่ทำเนียบค่ายบ่ายเวลาเจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง พรักพร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการแน่นขนานคอยนั่งอยู่ทั้งผอง พร้อมสรรพนายทัพและนายกองจึ่งฉีกท้องตราอ่านสารโองการ ว่าซึ่งกองทัพฮ่อที่ก่อกวนอยู่เมืองพวนนักหนาล้วนกล้าหาญ และเมืองสุยเชียงขวางทางกันดารฮ่อประมาณหกร้อยคอยประจญ ให้เจ้าพระยารีบยกทัพบกไปได้ชิงชัยต่อตีให้ปี้ป่น ให้มีชื่อเสียงไว้ในสกล-ล โลกล้นลือนามด้วยความดี ในข้อสองว่าด้วยกองเสบียงนั้นเมืองเวียงจันท์ไปเชียงขวางทางวิถี ต้องเดินตามข้ามเขินเนินคีรีเห็นสุดที่ส่งลำเลียงเสบียงคน ซึ่งจะให้พระยามหาอำมาตย์เหลือขนาดส่งเสบียงเลี้ยงพหล ด้วยว่าทางเดินยากลำบากพลที่จะขนโคต่างทางกันดาร บัดนี้เล่าได้สั่งเจ้าพระยาภูจัดแจงดูส่งเสบียงเลี้ยงทหาร ได้มีตราไปกำชับบังคับการให้คิดอ่านส่งเสบียงให้เพียงพอ ฯ ๏ ครั้นสำเร็จเสร็จอ่านซึ่งสารศรีความอื่นมีมากมายอีกหลายข้อ ท่านเจ้าคุณได้ฟังไม่รั้งรอแต่งตอบต่อบังคมลาฝ่ายุคล บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงภักดีผู้ว่าที่ยกกระบัตรจัดพหล ให้ถ้วนตามริ้วทัพกำชับพลประจวบจนวันดีได้ลีลา สั่งขุนโลกนัยนาให้หาฤกษ์โหรก็เลิกสมุดต้นเที่ยวค้นหา แล้วลงเลขคูณหารอ่านตำราแล้วเขียนว่าแม่นมั่นซึ่งวันดี ในเดือนสามฤกษ์เลิศมงคลรอไปจนคลาดเคลื่อนถึงเดือนสี่ ขึ้นเจ็ดค่ำเมฆเบิกนั้นฤกษ์ดีรออีกทีสิบสองค่ำฤกษ์นำพล พวกกองทัพทุกหมู่ต่างรู้ตัวเตรียมกันทั่วกองทัพดูสับสน ทหม้าหาบหามแต่งพอแรงตนทั่วทุกคนแต่งเสร็จสำเร็จการ เจ้าพระยาจอมพหลกังวลนักด้วยว่าจักยกพหลพลทหาร ทางโคกหลวงน้ำนั้นแสนกันดารจะรำคาญเคืองใจแก่ไพร่พล ด้วยพระมหาเทพนั้นคลาดคลายมาแต่เมืองหนองคายแจ้งเหตุผล กันดารน้ำลำหนองและคลองชลทุกตำบลแห้งขอดตลอดทาง เจ้าพระยาพาทีมีบัญชาให้ขุนราชเมธาไปสืบสาง ที่ด้วยเรื่องน้ำแห้งแหนงระคางตามระหว่างที่พักพำนักพล พร้อมกรมการทหารหน้าไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล กับขุนหมื่นริ้วตั้งในวังบนทั้งสี่คนสืบการอย่านานวัน ทั้งสี่นานคำนับรับบัญชาต่างคลาดคลาเคลื่อนคล้ายรีบผายผัน ไปสืบรู้เสร็จสรรพแล้วกลับพลันถึงพร้อมกันหมอบราบก้มกราบเรียน ทางโคกหลวงเหลือแล้วน้ำแห้งขอดทั่วตลอดจดกะระยะเขียน เป็นหนทางกลางทุ่งเวิ้งวุ้งเตียนสุดแวะเวียนร่มพักสำนักคน ครั้นเจ้าคุณได้ฟังไม่กังขาจึงปรึกษาข้อความตามนุสนธิ์ ด้วยหนทางที่จะไปพร้อมไพร่พลจะปี้ป่นทารกรรมน้ำไม่มี จะยกเยื้องทางเมืองพิมายหนอน้ำท่าพอทั่วระหว่างทางวิถี พร้อมนายทัพนายกองร้องว่าดีจะเป็นที่อาศัยแก่ไพร่พล หลวงภักดียกกระบัตรคนจัดเจนจึงกะเกณฑ์หมายไปไม่ฉงน แล้วเร่งเกณฑ์เกวียนช้างโคต่างคนหัวเมืองบนสมทบทัพให้ฉับพลัน กรมการเร่งรัดจัดมาส่งไม่ไหลหลงรีบรวดการกวดขัน ต้องรีบรัดจัดหามาให้ทันบ้างผ่อนผันหากินจิตยินดี ราษฎรที่มีช้างโคต่างเกวียนบ้างถูกเฆี่ยนด้วยนำช้างโคต่างหนี ราษฎรยับเยินบ้างเงินมีเสียให้ที่กรมการท่านผู้เกณฑ์ กรมการได้ทีดีใจหายผู้จัดจ่ายหน้าแดงเป็นแสงเสน ได้เงินทองของตระการซ่านกระเซ็นด้วยจัดเจนเคยฉ้อพอสบาย ที่เกวียนดีมั่นคงไม่ส่งให้ยักยอกไว้ซ่อนเร้นไม่เห็นหาย ให้แต่เกวียนจวนจักหักทลายโคเกือบตายผอมเต็มที่มีแต่โครง จึงจัดจ่ายให้กับกองทัพมาพวกเราว่าเหลือทนบ่นโขมง กรมการเต็มแค้นช่างแสนโกงที่ปากโป้งด่าว่านินทาดัง ฯ ๏ กองทัพได้เกวียนต่างช้างสำเร็จถึงขึ้นเจ็ดค่ำมีสี่เดือนหวัง กำหนดฤกษ์บริสุทธิ์วันพุทธังพรักพร้อมพรั่งจัดกระบวนทวนทุกกอง เวลาบ่ายได้ฤกษ์เลิกพหลดูสับสนประดาดังคนทั้งผอง เจ้าคุณเสร็จขึ้นนั่งยังจำลองก็ลั่นฆ้องโห่เดินดำเนินพล ซึ่งช้างทรงองค์พระปฏิมากลับผันหน้าเป็นนิมิตคิดฉงน เฝ้าถอยหลังเดินกลับขยับตนหมอไสจนระอาใจไม่ยักเดิน ผู้คนร้องวิปริตนิมิตดีไปครั้งนี้คงเป็นสุขไม่ฉุกเฉิน นิมิตมงคลดีมีจำเริญไม่นานเนิ่นกองทัพคงกลับคืน คนเนืองนองกองทัพดูสับสนฝูงไร่พลเฮฮาต่างหน้าชื่น ล้วนใจคอเหี้ยมฮึกเสียงครึกครื้นบ้างช้างตื่นหันเหียนวิ่งเวียนวน ยกนิกรจากนครราชสีมามุ่งมรรคาเข้าในพฤกษ์ไพรสณฑ์ ระยะบ้านเรียงรายหลายตำบลไม่ชอบกลป่วยการคิดราญรอน ข้ามลำน้ำบริบูรณ์พูนสวัสดิ์เร่งรีบรัดจรจรัลไม่ผันผ่อน พอถึงสระธรรมขันธ์ตะวันจรหยุดพักร้อมแรมพักสำนักพล พอขุนนราฤทธิไกรไปหนองคายกลับผันผายคำนับน้อมจอมพหล ทำหนังสือถือตรามาแต่บนข้อนุสนธิ์เจ้าพระยาภูธราภัย ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือประจงถืออ่านแจ้งแถลงไข พร้อมนายทัพนายกองเนืองนองไปอ่านแจ้งใจประจักษ์ความตามยุบล ว่าเมืองหลวงพระบางทางกันดารซึ่งอาหารและเสบียงเลี้ยงพหล เหลือลำบากยากใจแก่ไพร่พลย่อมขัดสนอดอยากลำบากใจ แต่ซึ่งอ้ายพวกฮ่อทรลักษณ์ไม่หาญหักรบราอัชฌาสัย มาชักชวนหย่าทัพยกกลับไปตั้งอยู่ในเมืองพวนเห็นรวนเร ได้จัดพระสุริยภักดีไปซ้ำเติมใส่เสียให้มันแตกหันเห ในกำหนดเดือนสามตามคะเนให้ซวนเซสำทับให้ยับเยิน ในข้อสองว่ากองครัวเมืองพรวนอ้ายฮ่อกวนเกิดยุคยามฉุกเฉิน หนีมาสู่โพธิสมภารประมาณเกินแยกทางเดินไปเบื้องเมืองหนองคาย ซึ่งตาแสงแขวงกำนันพันท้ายบ้านและกองด่าน(?)กักขังครัวทั้งหลาย ได้มีตราไปบังคับกำชับนายปล่อยโดยง่ายมิได้ตั้งกักขังนาน แม้นเจ้าพระยามหินทร์รู้สิ้นสรรพจะมีตราไปบังคับไปว่าขาน ถึงพระยามหาอำมาตย์ราชการให้นายบ้านปลอบครัวไม่พัวพัน เห็นจะดีไม่เสียขาดราชการครั้นว่าอ่านความจบเสร็จสบสรรพ์ เจ้าคุณแต่งเรื่องตามเนื้อความพลันหนังสือนั้นเสร็จส่งให้ลงไป ให้พระยาราชเสนารู้อาการในข่าวสารแจ่มแจ้งแถลงไข ให้คนนำหนังสือถือครรไลแต่โดยในวันนั้นไม่ผันแปร ครั้นจวนแจ้งแสงเสร็จสิบเอ็ดทุ่มผู้คนกลุ้มอยู่ระเบ็งเสียงเซ็งแซ่ พวกทหารนั้นเล่าก็เป่าแตรคนอัดแอผูกช้างโคต่างพลัน คนพร้อมพรั่งทั้งหลายก็บ่ายบากยกออกจากสระน้ำธรรมขันธ์ เดินกระบวนมาในทางกลางอรัญสุริยันเยี่ยมฟ้าเวลางาย ประจวบถึงพึ่งเกราเข้าสำนักหยุดผ่อนพักโยธาเวลาสาย ต่างคนเสพอาหารสำราญกายแต่พอบ่ายสุริยาท้องฟ้ามัว พอลมตกยกขยับกองทัพเดินร่มจำเริญแดดแฝงแสงสลัว เห็นฝนใหญ่ตั้งร่ามาน่ากลัวตลอดทั่วโดยรอบขอบมณฑล ฯ ๏ ครั้นถึงหนองสะแกแลสะอาดที่บนโคกจอมปราสาทกลางไพรสณฑ์ เสร็จปลงช้างหยุดพักสำนักพลแรมตำบลนั้นคืนรื่นสำราญ วลาหกตกอยู่เสียงซู่ซ่าพวกโยธาคับคั่งนั่งขนาน ไม่มีที่บังร่มเปียกซมซานเอาใบตาลบิดบังนั่งยองยอง บางคนหักได้กิ่งไม้คลุมมาปกสุมมิดชิดบังปิดของ บรรดาเหล่าชาวพลเปียกฝนนองฟ้าก็ร้องเปรี้ยงครืนดั่งปืนยิง พอฝนหายหนาวงันสั่นเหมือนไข้ต้องก่อไปขึ้นนั่งพออังผิง พวกไพร่พลหนาวงันสั่นเหมือนลิงมันหนาวจริงจับใจผิงไฟลน ฯ ๏ ครั้นเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพคลาเคลื่อนทัพออกดำเนินเดินพหล รุ่งแสงทองท้องฟ้านภาดลประจบจนแม่น้ำลำเชียงไกร น้ำก็เค็มเต็มเหลือเหมือนเกลือแช่ลำกระแสน้ำแสงสีแดงใส ก็เสร็จข้ามโยธารีบคลาไคลก็เข้าในเขตตำแหน่งแขวงพิมาย เดินในทุ่งสัมฤทธิ์พินิจแลดูทิวไม้ไกลแท้น่าใจหาย แลเวิ้งวุ้งทุ่งเลี่ยนเตียนสบายดูสุดสายนัยนาพฤกษาทิว เห็นแนวไม้สุดคาดมาตรคะเนดังทะเลบกชัดลมพัดฉิว ละอองฝุ่นกลางทุ่งขึ้นฟุ้งปลิวแลละลิ่วเหมือนอย่างกลางทะเล ผู้นำร่องเจนจัดนำตัดทุ่งเคยหมายมุ่งแม่นใจไม่ไขว้เขว ชำนาญทางหมายมาตรคาดคะเนไม่โย้เย้เดินมุ่งตัดทุ่งเตียน พอถึงหนองโรงเรือช่างเหลือร้อนจะพักผ่อนยากจิตสถิตเสถียร พอพระพิมายหมอบราบมากราบเรียนน้อมจำเนียรโดยความกล่าวตามการ เชิญเจ้าคุณประเทียบทำเนียบร้อนหยุดพักผ่อนโดยระยะสระสนาน ทำเนียบปลูกไว้ท่าโอฬาฬารที่ริมธารโดยระยะขอบสระโต เจ้าคุณดีที่สุดว่าหยุดอยู่ซึ่งเหล่าหมู่ทวยหารประมาณโข พักกลางแจ้งร้อนแสงสุริโยแดดออกโร่ทำเนียบหนอไม่พอกัน จะอาศัยได้แต่เราเข้าไปอยู่สงสารหมู่เหล่าทหารพลขันธ์ ด้วยคนมิใช่ร้อยหลายร้อยพันจะหยุดนั้นไม่มีที่กำบัง พระพิมายเลยนำทางตัดขวางทุ่งเขม้นมุ่งทิวไม้ด้วยใจหวัง เข้าหยุดร่มพฤกษาเป็นป่ารังอยู่ริมฝั่งขอบลำแม่น้ำมูล เห็นน้ำใจใหญ่โตดูโสภาฝูงมัจฉากุมภิลไม่สิ้นสูญ จระเข้ก็มีบริบูรณ์ดูเพิ่มพูปรีดาผักปลาชุม บ้างมีอวนมีแหลงแซ่เสียงได้ปลาเงี่ยงปลางาหากันกลุ้ม บางคนตั้งกับช้อนต้อนเข้ามุมบ้างก็สุ่มที่ตื้นล้วนพื้นทราย ดูสนุกน่าสนานในชานชลเหล่าผู้คนเซ็งแซ่กระแสสาย มุจฉาชุมไพร่พลกระวนกระวายครั้นว่าบ่ายลมตกเสร็จยกพล เดินมาในกลางทุ่งมุ่งเขม้นเหลือบแลเห็นฟ้าสลัวมืดมัวฝน พระสุริย์ศรีรังสรรค์อันธกลฟ้ามืดมนธ์ถึงเบื้องเมืองพิมาย ก็หยุดพักพวกพหลพลทหารยั้งที่ท่าสงกรานต์กระแสสาย อยู่ที่ริมฝั่งน้ำมูลเนินพูนทรายพลนิกายล้าหลังยังไม่มา บ้างเท้าบวมจะเดินเหินไม่ไหวบ้างเป็นไข้ต้องรอหมอรักษา ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชาหยุดรอท่าพลพองามกว่าสามวัน ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าระยับเจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผายผัน ประสาทศิลาพร้อมหน้ากันซึ่งตัวฉันพยายามติดตามไป ฯ ๏ ครั้นถึงปราสาทหินเห็นภิญโญสูงเติบโตนี่ใครสร้างแต่ปางไหน มีหน้าบันมุขเด่นเห็นวิไลน่าปลื้มใจมือช่างสร้างบรรจง ชั้นนอกรอบหินขอบกำแพงชิดมีปรางค์มุขสี่ทิศแลระหง เสามุขใหญ่หินยันดูมั่นคงบุษบงหินรับสลับลาย ลอกลวดลายมะหวดกลึงงามขึงขำสง่าง้ำแลเลิศดูเฉิดฉาย ปราสาทข้างปราสาทเคียงดูเรียงรายเห็นแยบคายต่อติดสนิทแนว พร้อมรั้ววังคลังหินล้วนศิลาทำหลังคาหินเคียงเรียงเป็นแก้ว รอบนอกทิมดาบรายงามพรายแพรวแลล้วนแล้วศิลาน่าจะดู ในพระราชวังหลายหลังเรือนทำเหมือนเหมือนรายเรียงเคียงกันอยู่ เอาศิลามาแต่ไหนก็ไม่รู้ไม่มีภูเขาใหญ่อยู่ใกล้เคียง ไปเก็บหินฉุดลากมาจากไหนแท่งใหญ่ใหญ่ก่อสร้างวางเฉลียง อุตสาหะแต่งตั้งเป็นวังเวียงพิศดูเพียงเทวฤทธิ์นิมิตทำ มีกำแพงปราการชั้นด้านนอกมีข้างทิศตะวันออกดูขึงขำ เชิงเทินดินศิลาน่าประจำสง่าง้ำแข็งขันเห็นมั่นคง มีถนนหินทางเดินดำเนินออกจากมุขด้านตะวะนออกโดยประสงค์ ไปนครหลวงนครวัดทางตัดตรงข้ามฝ่าดงไปในป่าพนาลี ล้วนหินมูลก่อเห็นเป็นถนนน่าฉงนชมทางหว่างวิถี เขาว่าไปแต่พิมายหลายราตรีจึงถึงที่นครวัดโดยสัจจัง เมืองนี้เดิมพารามหากษัตริย์พรหมทัตทราบเรื่องในเบื้องหลัง สุดจะร่ำพรรณนาว่าให้ฟังขอยับยั้งเรื่องนิยายพิมายเมือง แม้นอยากรู้จงดูเรื่องปาจิตร์ท่านบัณฑิตกล่าวแกล้งแสดงเรื่อง ครั้นจะร่ำกล่าวจะช้าเวลาเปลืองจึงยักเยื้องหลีกลัดตัดนิยาย เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับหวังบัญชาสั่งนิมนต์สงฆ์องค์ทั้งหลาย มาหมดสิ้นตลอดเบื้องเมืองพิมายแล้วถวายปัจจัยไทยทาน เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าพระเจ้าราชขึ้นเหนืออาสน์ปรางค์หินในถิ่นฐาน สดับปกรณ์เสร็จสำเร็จการแสนสำราญรื่นเริงบันเทิงใจ แล้วเลยเที่ยวไปกระทั่งถึงยังถิ่นเรียงวังหินมีลำแม่น้ำใหญ่ เห็นชาวบ้านทอดแหเซ็งแซ่ไปอยู่ที่ในชลธาร์แน่นสาชล พวกชาวบ้านนำปลามาคำนับให้เจ้าคุณแม่ทัพอยู่สับสน ท่านก็แจกเงินทั่วทุกตัวคนส่งให้ขนเอาปลานั้นมาพลัน มาแจกจ่ายนายทัพกับนายกองจิตปรองดองมิให้เคียดขึ้งเดียดฉันท์ คนละหลายหลายตัวแจกทั่วกันแจกจนชั้นไพร่พลคนละตัว ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลากาลพวกชาวบ้านชักพามากันทั่ว แต่งสำรับคับขันมาพันพัวคำนับพณหัวจอมโยธา เจ้าคุณเรียกเงินไปแจกให้กับพวกเจ้าของสำรับทั่วถ้วนหน้า สมควรกับของเขาที่เอามาแล้วบัญชาสั่งให้พวกไพร่พล ยกสำรับแบ่งปันสู่กันกินคนได้ยินยกสำรับมาสับสน แบ่งปันกันตามประสาเวลาจนเหล่าผู้คนได้สมอารมณ์ปอง กองทัพแรมเมืองพิมายหลายราตรีเหล่าโยธีพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง หายล้าเลื่อยเมื่อยปวดทุกหมวดกองจึงสำรองการเดินดำเนินพล ครั้นรุ่งสุริย์ศรีตีสิบเอ็ดเตรียมพร้อมเสร็จยกเขยื้อนเคลื่อนพหล ออกจากเมืองพิมายหมายตำบลเข้าไพรสณฑ์ออกจากทุ่งมุ่งหนทาง ดูเวิ้งวุ้งทุ่งทิวแลลิ่วลับเดินกองทัพตัดไปทิวไม้กว้าง ถึงท่าโพหยุดร้อนพักผ่อนพลางแล้วปลงช้างหยุดพักสำนักพลัน อยู่ที่ริมฝั่งลำแม่น้ำมูลต่างเพิ่มพูนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ชวนกันลงสู่ท่าหาปลากันพอตะวันบ่านเดินดำเนินพล ถึงบ้านศาลาหักหยุดพักแรมพระจันทร์แจ่มส่องสว่างกลางเวหน แรมสำนักพักอยู่พร้อมผู้คนริมฝั่งชลแม่น้ำมูลเพิ่มพูนใจ ฯ ๏ ครั้นจวนรุ่งตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพยกกองทัพจรจรัลเสียงหวั่นไหว เดินตัดท้องทุ่งกว้างหนทางไกลลึกเข้าในป่าละเมาะลัดเลาะจร รีบรัดไม่รั่งรอมาบหึงบรรลุถึงที่พักสำนักผ่อน ด้วยสายแสงสุริย์ศรีระวีวรหยุดหนองบัวสุกรเวลาการ ครั้นร้อนอ่อนแสงสุริยนเหล่าไพร่พลปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ เสร็จคลาเคลื่อนโยธาไม่ช้านานจากสถานที่พักสำนักพลัน ฯ ๏ มาถึงบ้านนางออรอสำนักเข้าหยุดพักซึ่งพหลพลขันธ์ บ้านนางออมีผู้เฒ่าเขาเล่ากันแต่ก่อนนั้นเรื่องนิทานนานเต็มที คือว่านางอรภิมนิ่มอนงค์ได้เป็นองค์เอกเอ้มเหสี กษัตริย์เมืองพิมายนิยายมีถิ่นที่นี้เป็นบ้านสถานนาง กี่หูกปรากฎตั้งยังไม่สิ้นคล้ายเป็นหินชัดชัดไม่ขัดขวาง ปรากฎตั้งประจำเห็นสำอางชำรุดร้างพังหักประจักษ์ตา ด้วยว่าของนี้นั้นหลายพันปีเรื่องราวนี้ฉันไม่แสร้งแกล้งมุสา เป็นเรื่องราวโบราณนมนานมาคือเรื่องปาจิตร์นั้นจงอ่านดู ตรงนี้เดิมสร้างเมืองแต่เบื้องหลังแต่คราวครั้งพรหมทัตกษัตริย์สู่ มีเชิงเทินเดินรอบเป็นขอบคูปรากฏอยู่ตาคนจนทุกวัน ฝ่ายกองทัพรอรั้งตั้งสงบจวนจะพลบพร้อมพหลพลขันธ์ พวกไพร่พลตั้งล้อมอยู่พร้อมกันเป็นชั้นชั้นริมลำแม่น้ำมูล น้ำมูลเอ๋ยดักหน้าเฝ่สมาคอยพบบ่อยบ่อยอาบกินไม่สิ้นสูญ ฉันคิดคิดขึ้นมายิ่งอาดูรไม่เพิ่มพูนโหยหาแสนอาลัย แต่มิ่งมิตรของพี่ต้องนิราศช่างหายขาดมิได้เห็นเป็นไฉน เฝ้าพบแต่แม่น้ำมูลร่ำไปแม่ขวัญใจอนิจจาไม่มาเยือน ตั้งแต่พี่เริศร้างห่างสวาทช่างหายขาดดังคนขีดเอามีดเฉือน แต่พลัดพรากจากมาห้าหกเดือนไม่พบเพื่อนพิศมัยอาลัยลาน เวลาค่ำย่ำฆ้องมีตีสิบเอ็ดพรักพร้อมเสร็จพหลพลทหาร ยกจากบ้านนางออไม่รอนานเสียงสะท้านสะเทื้อนพระธรณิน ด้วยฝีเท้าคนเดินดำเนินดังมาคับคั่งในป่าพฤกษาสิน ลมระบายชายชวยมารวยรินรุ่งแสงทินกรอัมพรแดง ฯ ๏ ครั้นถึงหนองห้วยหมูสู่สำนักเข้าหยุดพักพลนิกายพอสายแสง สู่ทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลงมาจัดแจงเรียบร้อยคอยเจ้าคุณ ต่างจัดแจงปลงช้างโคต่างหยุดบ้างก็มุดเข้าอาศัยอยู่ใต้ถุน บ้างขนของเอะอะชุลมุนบางคนวุ่นเวียนหวิวหิวไม่พัน พอบ่ายแสงสุริยาฟ้าพายัพยกกองทัพพร้อมนิกายจะผายผัน ข้ามท้องทุ่งเข้าทางกลางอรัญมุ่งหมายมั่นเดินผ่าป่าสะแก ก็เสร็จข้ามแม่น้ำลำสะแทกเป็นลำแยกจากมูลศูนย์กระแส สิ้นเขตแดนพิมายเมืองชำเลืองแลเข้าแขวงแควเมืองลาวชาวอรัญ ฯ ๏ ครั้นถึงหนองช้างน้ำมีทำเนียบหยุดประเทียบพักพหลพลขันธ์ ถึงขอบหนองดูตามนามสำคัญช้างน้ำนั้นอยู่ไหนจึงไม่ยล หรือตั้งชื่อย้อนยอกแกล้งหลอกพลางเห็นแต่ช้างกองทัพอยู่สับสน ลงสู่ในวารินดื่มกินชลออกเกลื่อนกล่นหนองน้ำคละคล่ำไป ก็รอรั้งตั้งทัพอยู่ยับยั้งคนก็ตั้งแวดล้อมพร้อมไสว ทั้งด่านนอกหอกทหารอยู่ด้านในพลไพร่พรักพร้อมตั้งล้อมวง กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับท่านเจ้าคุณออกรับดังประสงค์ เขานำม้าสีดำมุ่งจำนงตั้งใจจงน้อมเกล้าให้เจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพไม่รับไว้ท่านคืนให้เขาพลันไม่หันหุน ด้วยกริ่งเกรงหัวเมืองจะเปลืองทุนกลัวบุญคุณเขาจะติดไม่คิดปอง ฯ ๏ ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยงคนล้อมวงพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง ทั้งด้านนอกด้านในสุมไฟกองบ้างตีเกราะเคาะฆ้องกระแตตี พอกรมการมาพร้อมน้อมจำนงว่าเมืองพุทไธสงน่าบัดสี มีอ้ายผู้ร้ายมารบราวีชาวบุรีจวนจะแตกวิ่งแหวกทาง อ้ายผู้ร้ายพูดสำเนียงเสียงประหลาดเหมือนโคราชได้ฟังชัดไม่ขัดขวาง ขอบารมีช่วยดับความอับปางเหมือนก่อสร้างพุทไธสงให้คงเวียง ท่านเจ้าคุณฟังแจ้งแถลงไขเป็นการใหญ่ฟังศัพท์สดับเสียง จึงเอนโอษฐ์ปราศรัยแล้วไล่เลียงเห็นแท้เที่ยงข้อความตามคดี บัญชาเยื้องสั่งเจ้าเมืองบุรีรัมย์ซึ่งมานำหนทางกลางไพรศรี ไปจับผู้ร้ายมาในราตรีกับขุนสัจจวาทีอีกหนึ่งนาย หลวงพิชัยเสนาอาสารับจะไปจับพวกปล้นคนทั้งหลาย ท่านเจ้าคุณอนุญาตต่างคลาดคลายพร้อมสามนายรีบไปในราตรี ซึ่งกองทัพอยู่ทางยังห่างเมืองคอยฟังเรื่องผู้ร้ายจะหน่ายหนี หรือจะจับได้มันในทันทีจนฆ้องตีสิบทุ่มคนกลุ้มกัน เสร็จเดินกระบวนทัพไม่ยับยั้งพร้อมสะพรั่งไพร่นายเตรียมผายผัน สว่างแจ้งแสงสีระวีวรรณก็พร้อมกันจรมาไม่ช้านาน เข้าในเขตเมืองใหญ่พุทไธสงคนเรียกคงนามสิ้นทุกถิ่นฐาน มีชื่อมาแต่ปฐมกาลนมนานจะประมาณหมายมั่นหลายพันปี พิศดูเมืองใหญ่พุทไธสงเห็นมั่นคงคึกคักเป็นศักดิ์ศรี เชิงเทินดินล้อมรอบขอบบุรีหนองน้ำมีรอบเมืองติดเนื่องกัน ถึงทำเนียบข้างประเทียบประทับพักหยุดพร้อมพักพหลพลขันธ์ ขนของส่งลงวางปลงช้างพลันบ้างหมายมั่นร่มไม้ด้วยใจจง ฝ่ายหลวงพิชัยเสนาพาอ้ายคนพวกที่ปล้นเข้าในพุทไธสง เข้ากราบเรียนพรั่งพร้อมน้อมจำนงโดยมั่นคงเรียนแยกแต่แรกมา เมื่อมาถึงเห็นเหล่าพวกชาวเมืองจัดแจงเครื่องหาบวิ่งทิ้งเคหา จวนจะแยกแตกหนีหลีกลีลามาดแม้นช้าแล้วแตกแยกกันไป หากมาทันปราบปรามห้ามว่าช้าเราจะฆ่าอ้ายคนร้ายหายไปไหน ซึ่งพวกลาวชาวบุรีต่างดีใจมากราบไหว้ร้องให้ช่วยด้วยขอรับ ทั้งเจ้าเมืองกรมการคลานเข้าหาแล้วบอกว่ามีคนปล้นไล่ขับ เดี๋ยวนี้อยู่โรงเหล้าแย่งเอาทรัพย์ช้าขยับมันจะไปไม่ได้มัน แล้วเกล้าผมตรงไปพอได้พบมันลี้หลบแอบนิ่งวิ่งถลัน เอาม้าล้อมควบไล่เกือบไม่ทันจึงบอกมันขืนวิ่งกูยิงตาย ต้องยอมให้จับตัวมันกลัวปืนนิ่งหยุดยืนกับที่ไม่หนีหาย คือพวกในกองทัพน่าอับอายมาทำร้ายปล้นสดมภ์กรมการ พวกโคราชคนหนึ่งก็ถึงจิตมันคบคิดกันมาจึงกล้าหาญ กับด้วยพวกกองทัพมารับงานซึ่งชาวบ้านตั้งบัญชีตีราคา รวมเงินตามอยู่ในสามตำลึงเศษเรียนตามเหตุที่ลาวเขากล่าวหา เจ้าคุณได้ทราบพลันมีบัญชาเอาตัวมาชำระดูให้รู้ความ อ้ายผู้ร้ายเป็นสัจแล้วซัดเพื่อนไม่แชเชือนเรียนรับบังคับถาม เจ้าคุณทราบระบิลตัดสินความใช้เงินตามของที่ตีราคา ให้มุลนายออกเงินใช้ให้เจ้าของแล้วรับรองตัวพิทักษ์ดูรักษา แม้นวันได้ชำระจะเอามาตะโหงกคาใส่ประจำทำประจาน ฯ ๏ เวลาค่ำย่ำฆ้องตีสองทุ่มผู้คนกลุ้มมี่ฉาวแจ้งข่าวสาร เห็นพระพิมายหมอบราบมากราบกรานเชิญซึ่งพานท้องตรามาแต่กรุง คนกองทัพรู้ข่าววิ่งกราวกรูอยากจะรู้วิ่งโลดกระโดดผลุง ต่างคนมาคอยฟังนั่งกันมุงใจเฟื่องฟุ้งชักพากันมาฟัง ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตราพร้อมบรรดานายทัพมาคับคั่ง ฉีกผนึกอ่านเสียงสำเนียงดังในข้อบังคับคำล้ำวิไล ให้กองทัพยับยั้งตั้งนี่ก่อนอยู่นครราชสีมาอย่าไปไหน พวกกองทัพโยธีต่างดีใจได้กลับไปโคราชสมมาดปอง ต่างเปรมปรีดิ์ดีใจจะได้กลับนอนไม่หลับยินดีไม่มีสอง ต่างคนเหิมใจฮึกนึกคะนองบ้างโห่ร้องสักรวาเสภาอึง ที่เหล่าคนเจ็บไข้ไปไม่รอดครางออดออดคร้านเกียจนอนเหยียดขึง ยินข่าวกลับโคราชหวาดคะนึงลุกทะลึ่งหายไข้ได้ทันที เจ้าคุณแจ้งทำนองในท้องตราจึงปรึกษาปลื้มเปรมเกษมศรี ว่าจะทำฉันใดไฉนดีท้องตรามีบังคับให้กลับไป ซึ่งนายทัพนายกองสนองตอบต่างเห็นชอบพร้อมกันเสียงหวั่นไหว ด้วยต่างคนเปรมปรีดิ์คิดดีใจอยากจะใคร่กลับโคราชไม่ขาดคน ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มคนกลุ้มเกลื่อนยกเขยื้อนกองทัพกลับพหล หยุดพักระยะน้ำหลายตำบลประจวบจนถึงโคราชมุ่งมาดมา สู่ทำเนียบเกยพักสำนักก่อนสโมสรเกษมสันต์หรรษา ต่างคนเป็นสุโขทั้งโยธาพร้อมถ้วนหน้าชุ่มชื่นต่างคืนคง เมื่อวันหนึ่งจึงเจ้าคุณชำระเรื่องอ้ายหกคนปล้นเมืองพุทไธสง ผูกเฆี่ยนห้าสิบทีตีมันลงแล้วก็ส่งจำคุกให้ทุกข์ทน มิให้เป็นเยี่ยงอย่างไปข้างหน้าพวกพาราเกะกะอกุศล เฆี่ยนเป็นตัวอย่างไว้แก่ไพร่พลจะได้ยลเกรงระย่อไม่ก่อการ ฯ ๏ ครั้นถึงวันสิ้นปีเดือนสี่สุดเป็นวันตรุษปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ โอ้เราเอ๋ยจากมาก็ช้านานจะประมาณหกเดือนไม่เคลื่อนคลาย พวกชาวเมืองว้าวุ่นทำบุญทานเกษมศานต์พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย ล้วนแต่งตัวสวยฟ้อก่อพระทรายทั้งหญิงชายพร้อมไปไพร่ผู้ดี กองทัพฝ่ายเราก็ก่อพระทรายทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมศรี ต่างจัดคนมาทั่ววิ่งวัวดีเล่นกันที่หน้าทำเนียบเปรียบกันดู เล่นกันถึงเงินทองต่อรองกันวิ่งกันวันมากมายหลายหลายคู่ เหล่าฝูงคนคับคั่งมาพรั่งพรูออกเกรียวกรูไม่เคยเห็นเล่นพนัน พวกเมืองโคราชมาวิ่งน่าชมชื่อว่าอ้ายเทียมลมตัวขยัน มาวิ่งกับกองทัพรับพนันวิ่งเดิมพันชั่งหนึ่งเสียงอึงอล ชาวโคราชทำป๋อร้องต่อมี่หกเอาสี่พวกเรารับร้องสับสน โคราชหมายมีชัยไม่จำนนมันต่อล้นสองเอาหนึ่งเล่นถึงใจ พอตัดเชือกปล่อยหางต่างวางวิ่งมันเร็วจริงฉุยฉิวดูหวิวไหว วัวกองทัพวิ่งดีก็มีชัยพอฉวยได้ธงแดงแกว่งให้ดู วัวโคราชวิ่งแต่แพ้กองทัพต่างคนอัปยศแสนอดสู พวกเราเฮฮาดังวิ่งพรั่งพรูบางคนรู้เต้นรำทำประจาน บ้างหัวเราะเยาะเย้าพวกชาวเมืองนึกโกรธเคืองเมินหน้าไม่ว่าขาน ชาวเมืองเสียเงินยับอัประมาณสนุกสนานที่สุดเมื่อตรุษไทย ฯ ๏ ถึงเดือนสี่หกค่ำจำไว้สิ้นพระราชรินถึงพลันเสียงหวั่นไหว เชิญท้องตราเสร็จถึงอีกหนึ่งใบกองทัพได้แจ้งข้อวิ่งสอฟัง เจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตราพร้อมบรรดานายทัพอยู่คับคั่ง กรมการพร้อมหน้าประดาดังไม่รอรั้งฉีกสารออกอ่านพลัน ในสารตรามีมาถึงแม่ทัพให้ยกกลับคืนไปไอศวรรย์ ให้เร่งรัดจัดแจงดูแบ่งปันปัศตันกระสุนปืนคืนนคร แต่ส่วนหนึ่งให้พระยามหาอำมาตย์ตามพระราชดำริสั่งดังอักษร กรมเขนทองขวาซ้ายนายนิกรพระราชวังบวรนั้นขึ้นไป สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน แล้งปีชวดอัฐศกได้ยกทัพเข้าประจญรบรับให้คับขัน อย่าให้ตั้งมั่วสุมชุมนุมกันในเขตขัณฑ์เมืองพวนให้ควรการ กรมทหารอีกกองไปหนองคายทั้งไพร่นายสำหรับจัดหัดทหาร ให้พวกลาวไวว่องคล่องชำนาญประจัญบานรบฮ่อต่อศักดา แต่กรมพระสัสดีมิให้ขาดพระพิบูลย์พระชาติปีกซ้ายขวา กรมเรือกันทั้งสองตามท้องตราบังคับมาเสร็จสรรพให้กลับไป แต่กรมพลพรรค์นั้นมีแจ้งกรมแสงเสร็จสรรพบังคับไข จงยกกลับพร้อมเพรียงคืนเวียงชัยต่างดีใจได้สมอารมณ์ปอง น่าสงสารพวกที่ต้องไปหนองคายทั้งไพร่นายง่วงเหงาจิตเศร้าหมอง อนิจจาน่าสังเวชน้ำเนตรนองทุกหมวดกองเหงาหงอยโศกสร้อยครวญ ข้างพวกเรานั้นไซร้จะได้กลับทั้งกองทัพฮาลั่นเสียงสันต์สรวล เอิกเกริกเริงร่าน่าสำรวลแต่แล้วล้วนกลับคืนหน้าชื่นบาน แต่เจ้าคุณแม่ทัพจะกลับถิ่นจิตถวิลใจพะวงคิดสงสาร จะพลัดพรากจากไปอาลัยลานเหล่าทหารที่จะต้องไปหนองคาย เคยร่วมสุขทุกข์ยากจะจากกันจะนับวันว่างเว้นำม่เห็นหาย สงสารด้วยพหลพลนิกายจะแพร่งพรายพลัดไปไกลกันดาร แล้วท่านจัดพร้อมเพรียงเสบียงกรังขนมปังกินยืดทั้งจืดหวาน ปลาซาดินอินทผาลำทั้งน้ำตาลท่านเจือจานแจกจ่ายทุกนายพล ทั้งพริกเกลือเยื่อเคยนมเนยนอกแล้วสั่งบอกไพร่มารับอยู่สับสน ซึ่งข้าวของกองคละอยู่ปะปนผู้คนขนคนละกองของดีดี ฯ ๏ ครั้นเดือนห้าล่วงเข้าขึ้นเก้าค่ำเป็นวันกำหนดทัพกลับกรุงศรี ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์เสียงอึงมี่พร้อมพรักคึกคักคน พวกจะไปหนองคายผันผายมาเข้าอำลาคำนับน้อมจอมพหล ต่างตรมตรองหมองมัวทุกตัวคนเนตรนองชลธาราให้อาวรณ์ ท่านเจ้าคุณออกรับสดับคำท่านก็ร่ำวาจังกล่าวสั่งสอน แล้วเลยร่ำคำประภาษประสาทพรกล่าวสุนทรโดยตามความอาลัย เดิมท่านอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้าบัดนี้เล่ามีกรรมทำไฉน ต่างคนเราต่างจะห่างไปโดยแต่ในวันนี้ลับลี้กัน พวกท่านไปได้ลำบากความยากเย็นจงให้เป็นสามัคคีดีขยัน อย่าถือเปรียบตั้งปึ่งทำขึ้งกันจงหมายมั่นราชการอย่าคร้านใจ ต่างคนทำอำลาหน้าสลดต่างกำสรดหม่นหมองไม่ผ่องใส แสนโศกเศร้าโศกาด้วยอาลัยต่างก็ไปเตรียมตัวทั่วทุกนาย ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่างมาขึ้นช้างพร้อมพหลพลทั้งหลาย เหลียวหลังดูผู้ที่ต้องไปหนองคายท่านไม่วายอาวรณ์ถอนฤทัย ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เบิกกระบวนทัพยกพลกลับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว พวกกองทัพโยธีต่างดีใจด้วยจะได้กลับบ้านสำราญมา พวกชาวเมืองเนืองหน้าออกมาดูยืนเป็นหมู่เรียงรายทั้งซ้ายขวา บ้างตามส่งกองทัพจนลับตาด้วยคบหารักใคร่พอใจกัน เดินกองทัพมาทางโพกลางตรงพระสุริยงแสงสายรีบผายผัน พ้นบ้านย่านยาวราวอรัญมุ่งหมายมั่นที่พักสำนักพล ครั้นถึงที่เขาลาดอาวาสใหญ่หนุดอาศัยสำนักพักพหล บ้างปลดม้าปลงช้างแล้วต่างคนอาศัยต้นร่มไม้ใบกำบัง ท่านเจ้าคุณอาศัยในศาลาอยู่ยังอารามใหญ่ด้วยใจหวัง พร้อมพหลโยธาประดาดังเข้ายับยั้งอยู่หน้าพระอาราม ท่านเจ้าคุณมีศรัทธาปัญญายงนิมนต์สงฆ์หวังผลกุศลสาม ทั้งสี่วัดให้มาทั้งอารามด้วยมีความเจตนาศรัทธาทำ เชิญพระบรมทนต์สู่บนพานเครื่องสการแลสลอนวางซ้อนสำ พระสงฆ์มาติกาครบพอจบคำสมภารนำพระขยับสดับปกรณ์ เจ้าคุณถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ถ้วนทุกองค์นั่งรับสลับสลอน แล้วแจกเงินศิษย์วัดจัดเป็นตอนที่ฝึกสอนคิดเขียนร่ำเรียนมา ครั้นเสร็จสรรพสดับปกรณ์แล้วก็คลาดแคล้วเข้าในไพรพฤกษา ออกทุ่งเข้าทางกลางวนาพระสุริยาเย็นย่ำลงรำไร ถึงหนองตะแบกหยุดพักสำนักแรมพระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว เอาเสื่อปูพรมลาดคาดผ้าใบที่อาศัยแห่งเจ้าคุณและมุลนาย พวกกองทัพยับยั้งอยู่ทั้งสิ้นหุงต้มกินกันเป็นทิวหิวใจหาย ครั้นเสร็จสรรพหลับนอนผ่อนสบายพอจวนงายแสงสว่างกลางอัมพร ก็เดินกองทัพมาคับคั่งไม่รอรั้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน ถึงสองเนินเดินทุ่งหมายมุ่งจรหยุดพักร้อนริมฝั่งน้ำลำตะคลอง พวกชาวบ้านมาพร้อมพรั่งมาคั่งคับหาสำรับจัดเอาซึ่งข้าวของ ข้าวเหนียวปั้นปลาร้าผักต้มฟักทองคนละสองสามชามตามกำลัง เป็นมากมายเหลือเล่ห์คะเนนับเคยได้รับเงินเฟื้องแต่เบื้องหลัง จึงชักชวนกันมาประดาดังมากกว่าครั้งคราก่อนเมื่อจรมา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพนับเงินให้พวกลาวได้สมมาดปรารถนา คนกองทัพยกสำรับทั้งข้าวปลาด้วยเวลาแสบท้องหาของกิน เมื่อหยุดทัพโยธาพลากรตะวันรอนอ่อนแสงพระสุรีย์สิ้น ฝนชะอุ่มกลุ้มฟ้าเมฆาฆินผูกพร้อมหมดคชสินทร์กุญชรชาญ เคลื่อนโยธีจากที่สำนักพักดูพร้อมพรักด้วยพหบพลทหาร ต่างคนเริงรื่นชื่นสำราญเดินไม่นานข้ามน้ำลำตะคลอง ถึงทางแยกมรคาพระยาไฟแยกหนึ่งไปพระยากลางเป็นทางสอง ท่านเจ้าคุณการุณไพร่ด้วยใจปองได้ตรึกตรองไว้แต่เดิมเมื่อเริ่มมา เพราะเห็นว่าวลาหกตกไม่ห่างจะไปทางพระยาไฟเกรงไข้ป่า ด้วยทางดงพระยาเย็นเป็นระอากลัวโยธาเดินทางจะวางวาย เมื่อขึ้นมาพหลมาป่นปี้ถูกไข้ผีป่ากิ้นเสียสิ้นหลาย เมื่อขากลับจะต้องกันอันตรายเดินอยกย้ายมรคาหามงคล จึงได้ยกพลไพร่ไปโดยทางพระยากลางถึงว่าจะต้องห่าฝน ก็ไม่เกิดความไข้แก่ไพร่พลทางไม่ย่นติดจะยาวถึงเก้าวัน เดินทางมาในกลางพนาวาสถึงยังเมืองโคราชดูคับขัน เป็นเมืองแก่แต่บุราณมานานครันเดี๋ยวนี้นั้นกลายเป็นชาวนาคร เชิงเทินดินสูงเด่นเช่นผู้เฒ่าเป็นเมืองเก่าแรกสร้างแต่ปางก่อน แข็งแรงกำแพงรอบขอบนครดูถาวรแต่งตั้งแต่ครั้งใด เดินทัพเข้าทางผ่านกลางเมืองแลชำเลืองพฤกษาป่าไสว ถามกรมการว่ากว้างทางเท่าไรพวกวัดได้ห้าสิบเส้นนับเป็นวา เดินทางมาไม่นานประมาณครู่ออกประตูตะวันตกรกพฤกษา เจ้าคุณหยุดช้างอยู่ทำบูชาซึ่งเทวาอารักษ์โดยภักดี สิงสถิตที่เรืองในเมืองเก่าจงช่วยเป่าปัดร้ายในไพรศรี อย่าให้โทษพารามายายีให้โยธีกองทัพได้อับจน ครั้นเสร็จทำบูชาศีลาเลื่อนรีบคลาเคลื่อนกองทัพมาสับสน แสวงที่หยุดพักสำนักพลพระสุริยนเย็นย่ำลงรำไร ครั้นถึงหนองบัวบานบ้านแก่นท้าวมีหนองยาวเวิ้งว้างทั้งกว้างใหญ่ ก็พักหยุดกองทัพโดยฉับไวเป็นสมัยมืดค่ำฝนพรำพรม พวกชาวบ้านชักพากันมาวุ่นหาเจ้าคุณพูดสำเนียงยิ่งเสียงขรม ว่าอยากเห็นเจ้าคุณบุญอุดมขอเชยชมบุญญาบารมี ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับหน้าเอาเงินตราแจกลาวชาววิถี แล้วพูดจาถามทักโดยภักดีพวกลาวลีลากลับไปฉับพลัน ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าพะยับยกกองทัพเดินทางกลางไพรสัณฑ์ ไม่หยุดยั้งแรมราราวอารัญพระสุริยันสายแสงแจ้งอัมพร ฯ ๏ ถึงบ้านหนองบัวมีที่ทำเนียบหยุดประเทียบช้างสำนักเข้าพักผ่อน หุงข้าวปลาหากินทินกรจะเร่งร้อนรีบเดินดำเนินพล เพราะด้วยน้ำเบื้องหน้านั้นหายากจะลำบากแก่สัตว์เพราะขัดสน ซึ่งโคต่างช้างมาบรรดาคนจะอับจนด้วยน้ำจำครรไล ครั้นเสร็จเสพโภชนาเวลาสายทั้งไพร่นายพร้อมกันเสียงหวั่นไหว ก็เร่งผูกช้างม้ารีบคลาไคลยกเข้าในป่ารังไม่รั้งรอ ก็รีบเดินกองทัพมาฉับเฉียวไม่ลดเลี้ยวมุ่งมาดมาปราดปร๋อ น้ำไม่มีติดกระบอกจะกรอกคอคนเดินท้อถอยหลังประทังตน ทินกรร้อนนักบ่ายสักโมงถึงวังโล่งหยุดสำนักพักพหล มีแอ่งน้ำพอได้อาศัยคนแต่เต็มทนกล้ำกลืนเหม็นขื่นคาว มีอีกแห่งหนึ่งลึกถึงวากว้างสักห้าหกศอกน้ำออกขาว มีน้ำพออาศัยไม่ใหญ่ยาวปะเมื่อคราวมีการกันดารเดิน เจ้าคุณบัญชาสั่งทั้งกองทัพท่านกำชับด้วยทางยังห่างเหิน น้ำข้างหน้าหายากลำบากเกินใครอย่าเลินเล่อจิตชีวิตวาย ตักน้ำใส่กระบอกไปจงให้ทั่วสำหรับตัวจะได้กินสิ้นทั้งหลาย ด้วยยามแล้งแห้งหมดจะอดตายเร่งขวนขวายน้ำกรอกกระบอกไป พวกกองทัพรับบัญชาหากระบอกบ้างตัดไม่ไผ่ปอกอยู่ขวักไขว่ เสียงเปาะเปกโปกปากถากไวไวคนละใบสองกระบอกเสียงออกอึง ต่างหาน้ำเตรียมตัวทั่วทุกหมู่หยุดพักอยู่วังโล่งสักโมงครึ่ง สำเร็จกิจทั้งหลายวายคะนึงเสร็จแล้วจึงออกเดินดำเนินพล เจ้าคุณมาบนช้างทางคะนึงร่ำบ่นถึงเทวดาขอฟ้าฝน ด้วยมาที่แคบคับจวนอับจนด้วยขัดสนด้วยน้ำคิดรำพึง แล้วคิดถึงคุณทูลกระหม่อมพระจอมเกล้าระลึกเอาเป็นต้นเฝ้าบ่นถึง ด้วยเป็นที่นับถือไม่ดื้อดึงโปรดนำซึ่งวลาหกมาตกลง ได้อาศัยน้ำฝนคนและสัตว์ไม่ข้องขัดสมตามความประสงค์ จะได้ดับคับแค้นในแดนดงขอฝนจงตกให้ทันในวันเดียว ก็เร่งเดินรีบรุดไม่หยุดหย่อนถึงบ้านใหม่แกงร้อนโดยฉับเฉียว พอเกิดลมบ้าหมูมากรูเกรียวพอฝนเขียวลมปลิวละลิ่วลอย ฯ ๏ ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพักหยุดสำนักที่ทำเนียบรอพอสักหน่อย พิรุณร่วงรุดโรยลงโปรยปรอยฝูงคนคอยมุ่งมองที่รองราย พอสักครู่ซู่ซ่าลงมาใหญ่ต่างรองได้น้ำฝนคนละหลาย คนและสัตว์น้อยใหญ่ได้สบายครั้นฝนหายเหือดพลันในทันใด ที่ท้องห้วยลำธารในย่านหนทางท่วมท้องช้างลงพังพาบอาบอาศัย ทั้งช้างโคกล้ำกลืนได้ชื่นใจมีแรงไปภายหน้าได้วาริน ฯ ๏ พอเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพยกกองทัพเดินไปในไพรสิน รีบเร่งเดินลัดหลีกดังปีกบินตั้งพักกินข้าวปลาข้างหน้าทาง ครั้นอรุณรุ่งฟ้าเวลาเช้าเกือบจะเข้าปากดงตรงสว่าง ก็เดินดงตรงผ่าพระยากลางในหนทางรกหนาลดาวัลย์ ในดงทึบดูทั่วคลุ้มมัวมืดเป็นพงพืดซ้อนซับทางคับขัน เร่งรีบเดินเพลินมาในอารัญรีบผายผันโดยยากออกปากดง สักสามโมงเศษสังเกตไว้ก็พ้นพงดงใหญ่ไพรระหง เดินเลียบเนินเขาใหญ่ไถลลงหนทางตรงรีบเดินดำเนินพล ข้ามเขาเหวตาบัวน่ากลัวโขดูใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเวหน มีเขาใหญ่สูงชันอยู่ชั้นบนแลเหลือบยลแหงนฟ้าดูตาลาย จำเพาะมีมรคาสองวาศอกแลเป็นหมอกมืดมิดใจจิตหาย ข้างขวามือเขาชันกีดกั้นรายข้างเบื้องซ้ายเหวลึกคิดนึกกลัว จะลึกสักเท่าไรเร่าไม่รู้ไม่อาจดูขนพองสยองหัว แม้นตกลงคงเหลวเหวตาบัวระวังตัวพลัดตกหกคะมำ หนทางเดินลึกไกลไถลตรงกลัวช้างลงเดินเลียบเหยียบถลำ ช้างเดินลากขาหลังมันช่างทำกูบเอียงคว่ำข้างหน้าเมื่อขาลง ถึงที่ต่ำข้ามลำพระยากลางเข้าเดินทางทิวไม้ไพรระหง เข้าแขวงเมืองบัวชุมเห็นพุ่มพงตัดทางตรงมาทำเนียบประเทียบพัก อยู่เชิงเขาบังเหยลมเชยฉ่ำริมฝั่งน้ำพระยากลางต่างประจักษ์ คนหิวจริงวิงเวียนเจียนจะชักถึงบ่ายสักสามโมงท้องโล่งมา ด้วยอดข้าวเช้าหิวใจหวิววุ่นจิตฉิวฉุนโมโหเกิดโทสา บ้างทิ้งหาบผลุงหุงข้าวแล้วเผาปลาพวกโยธาพักผ่อนอ่อนกำลัง เลยพักแรมอยู่นั้นไม่ผันผายด้วยวัวควายช้างม้าเดินล้าหลัง ไม่รีบรุดหยุดหย่อนผ่อนประทังก็ยับยั้งที่นั่นไม่ผันแปร ครั้นพลบค่ำสนธยาย่ำราตรีนั่งชมสีแสงสว่างกระจ่างแข ค่อยส่างโศกโรครำคาญฤดานแดอากาศที่นี่ดีแท้หอมรื่นรวน ลมพระพายชายเชยรำเพยผิวเย็นฉิวฉิวน้ำค้างพรมเมื่อลมหวน หอมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำกลิ่นลำดวนเมื่อจะจวนรุ่งแจ้งแสงหิรัญ พอสว่างสุริยาส่องอากาศเสร็จคลาคลาดกองทัพโดยคับขัน เดินทางมรคาพนาวันพระสุริยันแรงร้อนอ่อนกำลัง ข้ามลำพระยากลางเรียกว่าท่ามะกอกแล้วเดินออกทุ่งใหญ่ด้วยใจหวัง พินิจชมพฤกษาล้วนป่ารังแลสะพรั่งดูเพลินจำเริญใจ ข้ามลำพระยากลางชื่อว่าท่ามะกอก็หยุดรอพักร้อนผ่อนอาศัย ครั้นอ่อนแสงสุริยาก็คลาไคลยกครรไลออกทางชมยางยูง ข้ามลำน้ำสันนทีต้องปริปากช้างเดินยากจริงจริงตลิ่งสูง ลางคนเดินจดจ้องบ้างต้องจูงที่เหล่าฝูงคนเดินเกินระอา ฯ ๏ ถึงท่าปูนแรมสำนักพักอยู่ที่นั่นครั้นสุริยันสว่างกลางเวหา ก็ออกเดินกองทัพคับคั่งมากำนันพานำทางไม่คลางแคลง เข้าป่ารังบังร่มพระสุริยนเสร็จเดินพลข้ามลำแม่น้ำแห้ง เรียกลำสันนทีใหญ่ไม่ระแวงบ้านประแดงจองกอพอกลางวัน ฯ ๏ ถึงท่าฉางลำสักหยุดพักร้อนสโมสรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ เหล่ากรมการเมืองบัวชุมมากลุ้มกันของกำนัลมาคำนับรับเจ้าคุณ เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรองซึ่งข้าวของกำนัลไม่หันหุน ท่านนับเงินตราให้ช่วยใช้ทุนมิให้บึญคุณติดด้วยคิดอาย ซึ่งข้าวสารราคาตั้งให้ถังหนึ่งสองสลึงราคาชาวนาขาย ซ้ำแจกเงินให้เขาท้ังบ่าวนายทั้งหญิงชายตามประดามาด้วยกัน อีกเสื้อผ้าแจกให้ขอบใจเขาคิดจะเอาบุญคุณไม่หุนหัน กรมการดีใจได้รางวัลแล้วผายผันเสร็จกลับคำนับลา ครั้นว่าบ่ายลมตกยกขยับเดินกองทัพเข้าในไพรพฤกษา เห็นเขาใหญ่ขวางกั้นอรัญญาชื่อเขาตากลิ้งขวางหนทางจร เห็นคิรีดีแท้แลคล้ายคล้ายนึกไม่วายหายกริ่งรูปสิงขร แลแต่ไกลชอบกลเหมือนคนนอนมีกายกรไหล่หัวตัวและมือ เขาว่าสังกรณีตรีชวาบนยอดผาตากริ่งมีจริงหรือ เป็นแต่คำคนเขามาเล่าลือหาตัวคือใครได้ก็ไม่มี ฯ ๏ ถึงท่าสำโรงสำลักจวนจักค่ำต่างข้ามน้ำปลื้มเปรมเกษมศรี ข้ามตรงตื้นพื้นทรายสบายดีดูวารีใสสะอาดมีหาดทราย เขาว่ามีจระเข้เดรัจฉานตัวประมาณโตใหญ่ดุใจหาย ถ้ำมันเนาอยู่ในเขาตากับยายด้วยเชิงชายเขายั้งกระทั่งธาร เสร็จข้ามน้ำลำสักหยุดพักเนาริมเชิงเขาตากับยายชายละหาน เข้าเขตแขวงเมืองไทยไชยบาดาลกรมการมาคำนับคอยรับรอง พักแรมทัพอยู่ที่นั่นไม่ผันผายครั้นจวนงายพร้อมพรั่งพลทั้งผอง จวนอรุณรุ่งแจ้งเรื่อแสงทองออกเดินกองทัพใหญ่ครรไลจร ถึงที่ห้วยเดินข้ามถึงสามแห่งสุริย์แสงส่องฟ้าระอาอ่อน กึ่งท่าลาวลำสักพักนิกรสำนักผ่อนพอประทังกำลังตน เหล่าพวกชาวนิคมกรมการในเมืองไชยบาดาลมาสับสน พร้อมทั้งบ่าวทั้งนายมาหลายคนด้วยกังวนคอยรับกองทัพมา เจ้าคุณแจกเงินให้ไม่เสียดายทั้งบ่าวนายสมมาดปรารถนา บ่ายลมตกเดินได้ก็ไคลคลายกโยธากองทัพเลยลับไป ถึงบ้านโคกถลุงเป็นทุ่งกว้างคนมาสร้างเคหาอยู่อาศัย มีเรือนหลายสิบหลังชั่งกระไรมาอยู่ในกลางป่าทำนากิน เจ้าคุณเลือกเงินขาวขาวแจกชาวบ้านกระทำทานสุดจะนับเสียทรัพย์สิน ชาวบ้านได้เงินตราไม่ราคินต่างคนยินดีได้ดังใจจง ฯ ๏ ครั้นกองทัพล่วงพ้นตำบลบ้านเข้าเชิงชานเขาใหญ่ไพรระหง เป็นเหลี่ยมคูลดหลั่นสูงชันตรงชื่อเขาพระยาเดินธงอยู่ริมทาง เข้าประเทศเขตเบื้องเมืองพระบาทรีบคลาคลาดพ้นเขาลำเนาขวาง ล้วนป่าไม้ใหญ่สูงต้นยูงยางต้นแคคางเคี่ยมมะค่าพญารัง ครั้นถึงหนองกระดี่ที่สำนักก็แรมพักหยุดทัพคนคับคั่ง ล้วนอ่อนพับหลับนอนอ่อนประทังครั้นรุ่งรังสีสว่างกระจ่างพราว เสร็จคลาเคลื่อนเขยื้อนยกขยับเดินกองทัพโยธีเสียงมี่ฉาว เหล่าคนเดินพรั่งพรูมากรูกราวเสียงฝีเท้าคนสะเทื้อนเมื่อเคลื่อนคลา เข้าปากดงวังส้มร่มชอุ่มด้วยยางพุ่มไสวใบพฤกษา บังแฝงแสงสีสุริยาที่ในป่าดงคลุ้มชอุ่มมัว ศิลาหลายอย่างต่างต่างสีอยู่ในพื้นปฐพีตลอดทั่ว มาตั้งทำหินได้แล้วไม่กลัวคงเอาตัวรอดได้เห็นไม่จน ไม่ต้องใช้หินฝรั่งแล้วครั้งนี้เมืองไทยมีมากถนัดไม่ขัดสน ถ้าทำวังทำวัดแล้วจัดคนขึ้นมาขนส่งไปเห็นได้การ ด้วยหินอ่อนลายสะอาดประหลาดเหลืองามทั้งเนื้อละเอียดดีสีสัณฐาน มีมากมายหลายล้นพ้นประมาณจะทำบ้านปูวัดไม่ขัดเลย เจ้าคุณให้คนสำรวจตรวจดูทั่วเก็บเอาตัวอย่างมาไม่ชาเฉย ให้พวกช่างหินดูที่ผู้เคยก็ชมเชยเนื้อศิลาไม่ราคิน ฯ ๏ มาถึงดงบ่อทองมองเขม้นไม่แลเห็นทองจิตคิดถวิล เขาว่ามีอยู่ในใต้แผ่นดินแต่ล้วนหินคนจะขุดก็สุดแรง แต่ก่อนมาคนปองขุดทองคำครั้นทำทำขุดพบกระทบแข็ง ทั้งโตทั้งหนาศิลาแดงเอาชะแลงเข้าขุดสุดกำลัง สิ้นมานะจึงได้ละไม่ลงขุดเพราะสิ้นสุดความคิดที่จิตหวัง คนเราทุกวันนี้ไม่อินังทองอยู่ทั้งดงใหญ่ไม่นำพา ฯ ๏ ครั้นถึงที่โป่งตะแบกไม่แยกย้ายเดินเลียบชายเขาไศลใหญ่หนักหนา อยู่กลางแจ้งบังแสงพระสุริยาสูงเยี่ยมฟ้าแลเป็นควันยอดบรรพต ครั้นออกจากชายดงเดินตรงมาถึงที่โคกตากฟ้าร้อนปรากฏ เดินกองทัพฉับเฉียวไม่เลี้ยวลดรีบขับคชสารเป็นการไว ครั้นถึงพุกำจานมีธารน้ำเข้าหยุดสำนักร้อนผ่อนอาศัย พออ่อนแสงสุริยาก็คลาไคลเร่งครรไลรีบร้นมาลนลาน มาถึงที่พุทธบาทสมมาดหมายทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ ต่างคนเอิกเกริกใจเบิกบานและเข้านมัสการพระบาทา พวกชาวบ้านพร้อมพรั่งมานั่งรายหวังจะขายเทียนธูปและบุปผา ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการลนลานมาคลานเข้าหาเจ้าคุณอยู่วุ่นวาย จับปลาแห้งแตงกวามาคำนับเจ้าคุณรับขอบใจเขาไม่หาย หยิบผ้าเสื้อแจกให้ไม่เสียดายทั้งบ่าวนายแจกเงินให้ดังใจจง พักแรมหยุดอยู่ที่พุทธบาทนั้นหวังจะวันทาตามความประสงค์ ด้วยท่านเจ้าคุณคิดมีจิตจงหวังจำนงในมนัสนมัสการ ครั้นพร้อมดวงพระหลวงทั้งปวงแล้วก็คลาดแคล้วขึ้นไปในสถาน เข้าในโบสถ์บวรรัตน์ชัชวาลย์หัตถ์ประสานโดยสุภาพกราบวันทา แล้วอาราธนาพระสงฆ์มาองค์หนึ่งสำแดงซึ่งธรรมวิเศษเทศนา ครั้นเคารพจบคำพระธรรมาถวายผ้ากับปัจจัยไทยทาน แล้วนิมนต์สงฆ์มาทั้งอาวาสวัดพระบาทด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ เชิญพระทนต์ขึ้นเสร็จเสด็จพานแล้วกราบกรานบังคมบรมทนต์ นิมนต์สงฆ์ทรงสดับปกรณ์แลสลอนพระอันดับนั่งสับสน ถวายปัจจัยพระไม่ปะปนแล้วแจกคนผู้รักษาพระบาโท เสร็จสรรพกลับมาสู่สำนักที่แรมพักผ่อนทุกข์เย็นสุโข ครั้นจวนแจ้งแสงสีสุริโยจวนอโณทัยแล้วคลาดแคล้วจร ออกทางหลวงล่วงพ้นไม่วนวกถึงศาลเจ้าเขาตกเชิงสิงขร เจ้าคุณเสร็จผันผายถวายพรแล้วรีบร้อนเร่งเดินดำเนินพล ฯ ๏ มาถึงบางโขมดเห็นโบสถ์วัดเจ้าคุณศรัทธาใคร่ได้กุศล ดำริพลางบัญชาใช้สั่งให้คนไปนิมนต์สงฆ์มาข้างอาราม ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาทไม่หวั่นหวาดตระหนี่จิตจะคิดขาม เด็กศิษย์วัดแจกให้เปลืองเงินเฟื้องงามด้วยมีความศรัทธาปัญญาชาญ ฯ ๏ ครั้นมาถึงท่าเรือเหลือวิเศษสว่างเนตรเหมือนถึงซึ่งสถาน ประดุจดังได้สบพ้องพบพานซึ่งบุตรหลานภรรยาที่ราแรม ต่างคนต่างดีใจด้วยไกลบ้านเกษมศานต์สุกใสหัวใจแจ่ม บ้างพบปะพวกพ้องร้องอ๊ะแฮมบ้างยิ้มแย้มทายทักรู้จักกัน ชาวท่าเรือที่พวกพ้องต้องไปทัพยืนคอยรับลูกผัวตัวกระสัน ได้ปะพบกันใหม่ใหม่ชื่นใจครันบางคนนั้นคอยเปล่ายืนเศร้าใจ พอเขาบอกว่าผัวของตัวตายลงทอดกายกลิ้งซบสลบไสล บ้างโหยหวนครวญคร่ำแล้วร่ำไรด้วยผัวไปกองทัพไม่กลับมา บ้างมีชู้รู้ว่าเจ้าผัวตายทำฟูมฟายร่ำไรร้องไห้หา ทำตรอมตรมซมซานด้วยมารยากลัวแต่ว่าผัวหายไม่ตายจริง แต่ที่แท้นิยมอยากชมชู้ถ้าผัวอยู่กลัวจะนุ่งเกิดยุ่งยิ่ง เขาบอกว่าผัวตายวายประวิงนึกกริ่งกริ่งร้องไห้กลัวไม่ตาย ฯ ๏ ครั้นมาถึงศาลาท่าสมเด็จเจ้าคุณเสร็จจรจรัลรีบผันผาย ต่างคนลงปลงช้างของวางรายมุ่งมาดหมายอาศัยในศาลา ด้วยไม่มีนาวาขึ้นมารับต้องแรมทัพรอคอยละห้อยหา คอยดูเรือมารับยิ่งลับตาจนเวลาเทศกาลสงกรานต์ไทย ต้องอยู่ที่ศาลาใหญ่หาเรือรำคาญเหลือหม่นหมองไม่ผ่องใส ยามสงกรานต์ไม่เป็นสุขสนุกใจสักเมื่อไรเรือจะมาคอยท่านาน ณวันหนึ่งเรือถึงมาทอดท่าล้วนนาวาจอดเรียงเคียงขนาน เรือขึ้นมาสอสอเกินพอการด้วยพวกบ้านหมายใจจะไม่พอ เรือโตโตขึ้นมาเป็นว่าเล่นเจ้าคุณเห็นตกใจนี่ใครหนอ จัดเรือแพมาชั่งไม่รั้งรอเหมือนเงินบ๋อกระเป๋าอู๋ไม่รู้การ มิหมายใจว่าเราได้ของกำนัลคงสำคัญใจจิตคิดวิตถาร จะมีอะไรด้วยไปราชการคำโบราณขาว่าตำรามี ไม่เห็นน้ำรีบรัดตัดกระบอกจะต้องออกแรงแบกแหวกวิถี กระเป๋าอู๋เงินบ๋อก็พอดีสมกับที่จัดเรือมาเหลือพาย ครั้นเรือแพนาวาพร้อมมาเสร็จวันแรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาสาย ท่านเจ้าคุณจัดแจงตบแต่งกายเสร็จผันผายสู่ท่านาวาพลัน เจ้าคุณลงแล้วบอกให้ออกแจวต่างคลาดแคล้วปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ เรือมาคว้างคว้างพอกลางวันถึงวังจันทเกษมต่างเปรมปรีดิ์ แลเห็นเรือกลไฟพระภัยรัตน์ท่านได้จัดขึ้นมารับประทับท่า ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชาเข้าจอดหน้าวังจันท์ด้วยทันที แล้วให้หากรมการเจ้าบ้านเมืองมาแจ้งเรื่องกองทัพกลับกรุงศรี ตามแบบอย่างราชการบุราณมีด้วยบัดนี้กองทัพจะกลับไป ด้วยว่ามีท้องตราให้หากลับบอกคำนับชี้แจงแถลงไข แล้วเสร็จออกนาวาล่วงคลาไคลเรือกลไฟจูงมาในสาคร ถึงวัดเชิงจอดประทับเข้ากับท่าแวะนาวาจอดเรียงเคียงสลอน เจ้าคุณขึ้นจ้องจดบทจรชุลีกรพระใหญ่ด้วยใจจง แล้วเชิญพระบรมทนต์ขึ้นบนวัดด้วยจิตศรัทธาปลื้มไม่ลืมหลง แจกเงินให้ผู้เฝ้าเหล่าเฮียกงนิมนต์สงฆ์หมดมาทั้งอาราม สดับปกรณ์พระทนต์ยุคลบาทพระจอมปราชญ์ซึ่งบำรุงกรุงสยาม ถวายแผ่อุทิศผลกุศลตามเพราะด้วยความกตัญญูรู้พระคุณ ครั้นสำเร็จเสร็จตรงลงนาวาเรือไฟพาอีกพักใบจักรหมุน ผลักเรือออกกลางน้ำถ่อค้ำจุนควันไฟกรุ่นกลุ้มมาในสาคร เรือละลิ่วลิ่วมาเวลาสายแสนสบายสุโขสโมสร ไม่แวะเวียนแห่งใดครรไลจรเร่งรีบร้อนเรือเรื่อยแล่นเฉื่อยมา เรือเลยพ้นออกจากคลองปากเกร็ดเจ้าคุณเข็ดคนจะครหา เพราะด้วยการท่านไปทางไกลมาไม่เห็นว่ามีสิ่งใดไปให้ปัน บัญชาให้เรือฉุดรอหยุดจักรเข้าจอดพักด้วยอายไม่ผายผัน จะรีบรัดขัดขวางเป็นกลางวันด้วยกระชั้นถึงบ้านรำคาญใจ เข้าจอดรอให้ย่ำค่ำสักหน่อยจึงจะค่อยไปให้ถึงจึงจะได้ ครั้นจอดอยู่ช้านานรำคาญใจแล้วเลยไปท่าอิฐคิดบรรเทา ด้วยมะปรางท่าอิฐติดจะลือจะต้องซื้อไปให้มากได้ฝากเขา แม้นใครทวงออกปากของฝากเราจะต้องเอามะปรางให้เห็นได้การ เที่ยวถามซื้อมะปรางใหญ่ก็ไม่พบแจวจนจบทั่วสิ้นพ้นถิ่นบ้าน ด้วยจวนวายคลายผลไม่ทนทานมะปรางหวานหน้านี้ไม่มีโต ครั้นจวนเย็นแล้วก็กลับมาฉับพลันด้วยตะวันจวนจักบ่ายอักโข สั่งเรือไฟให้ลอยปล่อยบุโลออกแล่นโร่รีบมาเวลากาล ฯ ๏ ถึงกรุงเทพทวาราเวลาเย็นพอแลเห็นปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ ด้วยไปทัพกลับมานั้นช้านานจะประมาณเจ็ดเดิอนไม่เคลื่อนคลาย ถึงเดือนห้าแรมแปดค่ำถ้วนคำรบพอดีครบเจ็ดเดือนเหมือนยังหมาย จิตเอิบอิ่มมาในเรือเหลือสบายค่อยวางวายทุกข์ใจอาลัยวรณ์ ฯ ๏ จบฉบับทัพเรื่องเมืองหนองคายสิ้นจดหมายแกมนิราศคลาดสมร ซึ่งตัวข้าผู้แต่งแสดงกลอนขออวยพรแต่งไว้เรื่องไปทัพ ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปดได้จำจดผูกพันจนวันกลับ ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับได้สดับเรื่องหมดจำจดมา ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพบางคนกลับผูกจิตริษยา แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทาขอดค่อนว่ากองทัพเสียยับเยิน ที่เหล่าพวกหูป่าตากะสือฟังเขาลือเชื่อใจมิได้เขิน พูดเสริมส่งเลยล้นไปจนเกินอย่าด่วนเพลินเผลอพร่ำพูดลำพัง คอยผูกใจผูกจิตคอยอิจฉาแอบนินทากองทัพอยู่ลับหลัง ถ้าใครอยากรู้สิ่งที่จริงจังจงวานฟังข้อคำที่รำพัน ทำอย่างนั้นผิดอย่างนี้ที่ตรงไหนตัดสินให้เที่ยงแท้อย่าแปรผัน ช่วยตรึกตรองตั้งใจให้เป็นธรรม์อย่าชวนกันนินทามุสาตาม จงไล่เลียงสืบสวนให้ถ้วนถี่ก็ย่อมมีผู้คนไปล้นหลาม อย่ากล่าวโทษโฉดเขลาว่าเบาความพูดซุ่มซ่ามโดยเดาเปล่าเปล่าเอย ฯ ขอบพระคุณ http://www.reurnthai.com/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A2 by Clongklon.blogspot.com

Thursday, July 12, 2012
Unknown

นิทานเวตาล : เรื่องที่ ๒๑

นิทานเวตาลเรื่องที่ ๒๑

          ครั้นแล้วพระเจ้าตริวเกรมเสนก็เสด็จกลับไปยังต้นอโศก ดึงร่างเวตาลลงมาจากกิ่งอโศก แล้วเอามันพาดบ่า ดำเนินมาตามเส้นทางเดิม ขณะที่มาตามทาง เวตาลก็กล่าวว่า “ราชะ โปรดฟังเถิด ข้ากำลังจะเล่าเรื่องถวายสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องสัมพันธ์สวาทที่ดีเด่นมาก เรื่องมีดังนี้”

           แต่โบราณสมัย มีเมืองหนึ่งชื่อ นครวิศาลา กล่าวกันว่ามีความงดงามราวกับเป็นเทพธานีแห่งที่สองของพระอินทร์ ซึ่งพระธาดาพรหมทรงสร้างเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของคนดีมีคุณธรรมที่ตกลงมาจากสวรรค์ ในนครนี้มีพระเจ้าแผ่นดินผู้มั่งคั่งองค์หนึ่งปกครองอยู่ ทรงนามว่าพระเจ้าปัทมนาภ ผู้ได้รับการยกย่องเป็นผู้นำความสุขมสู่เหล่าชนนิกรโดยทั่วหน้า ราวกับเป็นพญาอสูรพลี (พญาอสูรพลี ราชาแห่งอสูร มีเรื่องราวโดยละเอียดอยู่ในนารายณ์อวตารปาลที่ ๖ (วามนาวตาร) พระนารายณ์อวตารมาปราบอสูรพลี โดยกำเนิดเป็นพราหมณ์เตี้ โอรสของพระกัศยปเทพบิดรกับนางอทิติ พราหมณ์เตี้ยขอที่ดิน ๓ ก้าวจาลพลีแล้วย่างเท้าไป ๓ ก้าว คือในสวรรค์ก้าวหนึ่ง ในโลกก้าวหนึ่ง และบาดาลก้าวหนึ่ง เมื่อพลีสิ้นพยศกลับใจได้ พระนารายณ์ก็ให้พลีไปครองบาดาล เป็นราชาใต้พิภพ โดยสัญญาว่าถ้าพลีประพฤติดีวันหนึ่งจะให้กลับไปครองสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง) นั่นเทียว ในรัชสมัยของพระราชาผู้ทรงความดีเลิศในการปกครองนี้ มีเศรษฐีมหาศาลผู้หนึ่งชื่ออรรถทัตต์ มีความร่ำรวยมั่งคั่งยิ่งกว่าเทพแห่งทรัพย์ (เทพแห่งทรัพย์ หมายถึง ท้าวกุเวรโลกบาลแห่งทิศเหนือ เป็นยักษ์ ๓ ขา ผู้ครองนครอลกาบนภูเขาหิมาลัย เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ทั้งหลายในโลก เรียกกันว่า วสุบดี มีอีกชื่อหนึ่งว่าไพศรพณ์(ไวศฺรวณ) ไทยเรียกเพี้ยเป็นเจ้าแม่โพสพ) เสียอีก เศรษฐีผู้นี้มีธิดาเลอโฉมคนหนึ่งชื่อ อนงคมัญชรี (อนงคมัญชรี(เกสรดอกไม้ของกามเทพ) เป็นหญิงรูปงามมีเรื่องเล่าโดยละเอียดในภารตนิยาย) มีความงามสุดพรรณนา ราวกับพระพรหมจำลองลักษณ์รูปของนางให้เป็นแบบของเทพอัปสรฉะนั้น ในกาลต่อมาบิดาของนางจัดการให้นางแต่งงานกับพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ มณิวรรมัน แห่งเมืองตามรลิปติ ตัวท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาของนางนั้น เป็นผู้ที่รักและหวงแหนธิดาของตนอย่างยิ่ง เพราะมีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้นางเดินทางไปไหน นอกจากให้นางและสามีอยู่แต่ในบ้านของเขาเท่านั้น อนงคมัญชรีกับสามีก็อยู่ด้วยกันเป็นปกติ ทั้งที่ใจนางมิได้ยินดียินร้ายต่อเขาเหมือนคนไข้ที่จำต้องยินยอมกินยาขมที่หมอสั่ง อันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อยิ่งนัก แต่สามีก็ยอมอดทนต่ออารมณ์ของนางทุกอย่าง ทั้งนี้เป็นเพราะเขารักนางดังดวงใจนั่นเอง

           ครั้งหนึ่งมณิวรรมันมีความจำเป็นต้องเดินทางไปเยี่ยมบิดามารดาของเขา ในเมืองตามรลิปติอันไกลโพ้น หลังจากเวลาผ่านไปได้สองสามวัน พระอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าลงบนแผ่นดิน ทำให้กระบวนเดินทางค่อนข้างจะล่าช้าลง ทั้งนี้เพราะวสันตฤดูเพิ่งจากไปอากาศจึงร้อนและแห้งแล้งยามราตรีก็ผ่อนความร้อนลง มีลมแล้งพัดแผ่วและดวงจันทร์ก็มีสีซีดสลดดูวังเวงไร้ชีวิตชีวา

           ในฤดูครีษมะ(ฤดูร้อน) อันแห้งแล้งเช่นนี้ว่า วันหนึ่ง นางอนงคมัญชรีธิดาพ่อค้าใหญ่ พร้อมด้วยพี่เลี้ยงสาว ๆ หลายนางกำลังนั่งรับลมอยู่บนดาดฟ้าของคฤหาสน์ นางชะโลมกายด้วยผงจันทน์อันหอมกรุ่นและสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ผ้าแพรอันบางเบา ขณะนั้นนางแลลงมาดูผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนนก็แลเห็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ กมลากร บุตรของสมุหราชมนเทียรเดินอยู่บนถนนสายนั้น เขางามสง่าไปเสียทุกอิริยาบถ ราวกับพระกามเทพที่ปรากฎพระองค์ออกจากเถ้าถ่านอันเกิดจากการเผาไหม้ของสรีระ(การเผาไหม้ของสรีระ มีเรื่องเล่าในมหากาพย์และปุราณะว่า กามเทพแผลงศรดอกไม้ห้าชนิด ไปปักพระอุระของพระศิวะขณะทรงเข้าฌานอยู่ เป็นการกระทำอย่างอุกอาจโดยมีความปรารถนาจะให้พระศิวะเกิดความรักพระอุมา พระศิวะทรงกริ้วที่ถูกลบหลู่ จึงลืมพระเนตรที่สามขึ้นเป็นไฟกรด เผาร่างกามเทพมอดไหม้ไป ตั้งแต่นั้นกามเทพจึงไม่มีร่างกายอีก เรียกกันว่าพระอนงค์(ผู้ไม่มีร่างกาย)) เพื่อติดตามหานางรตีผู้เป็นชายาฉะนั้น ขณะเดียวกันกมลากรก็เงยหน้าขึ้นไป ได้พบนางผู้งามสง่าผุดผ่องราวกับจันทรมณฑล ชายหนุ่มก็มีหัวใจอันเบ่งบานด้วยความพิศวาสราวกับบัวกุมุท ซึ่งเผยกลีบออกรับแสงจันทร์ในราตรี สายตาของทั้งสองฝ่ายที่จ้องประสานกัน ก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่กะพริบ ราวกับถูกสาปด้วยบัญชาอันทรงมหิทธานุภาพของกามเทพ ฝ่ายสหายของกมลากรแลเห็นทั้งสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในความจังงังเช่นนั้น ก็รีบดึงแขนกมลากรให้ห่างจากที่นั่นและลากถูลู่ถูถังไปส่งจนถึงบ้าน

           ฝ่ายอนงคมัญชรีพยายามสืบถามจากบริวารจนทราบชื่อของกมลากร แล้วก็นึกถึงเขาไม่วาย ทอดสายตาแลตามจนสุดสายตาแล้วจึงกลับลงมาจากดาดฟ้า เข้าสู่ห้องของนางด้วยความเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ในอกมีแต่ความเสน่หาอาลัยอันท่วมท้น นางกลิ้งเกลือกกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงด้วยพิษรักที่แผดเผาอยู่ในใจ คิดถึงชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นสองสามวัน อนคมัญชรีค่อยฟื้อคืนสติ มีความละอายหวาดหวั่นไม่สามารถทนพิษรักอันปวดร้าวเพราะการจากกันได้ ร่างของนางเริ่มผ่ายผอมลงและซีดเซียวลงตามลำดับ เพราะความครุ่นคิดถึงเขาอยู่ไม่วาย เมือ่แลเห็นว่าความรักของนางจะไม่ถึงผลสำเร็จแน่แล้ว นางก็คิดจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นในคืนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบริวารนอนหลับแล้วก็ออกมาจากห้อง เดินตามแสงจันทร์อันสุกสกาวออกจากบ้านมุ่งไปตามทางเดินเลียบริมสระ มิช้ามินานก็มาถึงเทวาลัยแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในสวนขวัญ แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่อันแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น ภายในเทวาลัยเป็นที่ประดิษฐานปฏิมากรทองคำเจ้าแม่จัณฑี (เจ้าแม่จัณฑี พระอุมาปางดุร้าย เรียกกันเป็นสามัญว่า เจ้าแม่กาลี มีภักษาหารคือ โลหิตสด ๆ) ซึ่งวงศ์ตระกูลของนางสร้างขึ้นไว้ สำหรับการกราบไหว้บูชา ประกอบด้วยเครื่องตกแต่งภายในงดงามเป็นที่น่าเจริญใจ อนงคมัญชรีก้าวเข้าไปในเทวาลัย และถวายนมัสการอย่างนอบน้อมต่อหน้าองค์เทวรูป และกล่าวว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้ารักกมลากร ถ้าข้ามิได้เขาเป็นสามีในชาตินี้ก็ขอให้ได้กันในชาติหน้าเถิด” เมื่อนางได้กล่าวอธิษฐานจบลง ก็ฉีกผ้าคลุมร่างตอนบนออกทำเป็นบ่วงเพื่อแขวนคอตนเอง และเดินออกมาถึงต้นอโศก ตวัดเชือกขึ้นไปคล้องกิ่งอโศกไว้ เตรียมจะผูกคอตาย

           ขณะนั้นเอง ปรากฎว่าหญิงบริวารคนหนึ่งของนาง ซึ่งนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ตื่นขึ้นในตอนดึก ไม่แลเห็นนางก็ตกใจ ออกติดตามไปจนถึงต้นอโศก ขณะที่อนงคมัญชรีกำลังจะแขวนคอตนเองอยู่ก็ตกใจ ร้องตะโกนว่า “หยุด หยุด” แล้วรีบปีนขึ้นไปบนกิ่งอโศก และตัดบ่วงให้ขาดลง อนงคมัญชรได้สติเห็นนางพี่เลี้ยงกำลังพยาบาลอยู่ก็ถอนใจ เมื่อพี่เลี้ยงเซ้าซี้ถามว่านางเสียใจเรื่องอะไร อนงคมัญชรีจึงเล่าความคับแค้นใจของนางให้ฟัง และสรุปว่า “มาลติกาเอ๋ย เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่า ข้ามีพ่อแม่ที่ควบคุมข้าอย่างเข้มงวดทั้งที่ข้ามีสามีแล้ว ข้าเหมือนนักโทษติดคุกทำอะไรก็มิได้ แล้วอย่างนี้ข้าจะติดต่อกับยอดรักของข้าได้อย่างไรเล่า ในความคิดของข้าเห็นว่าความตายเท่านั้นที่เป็นความสุขของข้าได้ แล้วเจ้ามาช่วยข้าไว้ทำไม” ขณะที่อนงคมัญชรีคร่ำครวญอยู่นี้ นางกำลังทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพราะพิษรักจากบุษปศรของพระกามเทพ และได้รับความผิดหวังเพราะความรักอย่างเหลือที่จะทนทานต่อไปได้ นางก็หมดสติเป็นลมล้มฟุบสิ้นสติไปอีกครั้งหนึ่ง

           นางมาลติกาพี่เลี้ยงเห็นดังนั้นก็ตกใจยิ่งนัก ตะโกนว่า “โอ้ พระมันมถะนี่หนอ (มันมถะ “ผู้กวนใจ” เป็นฉายาหนึ่งของพระกามเทพ เพระากามเทพนั้นเป็นผู้ก่อกวนใจบุคคลทั้งหลายให้ปั่นป่วนวุ่นวายด้วยความรัก) เหตุใดจึงรุนแรงต่อนางถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงมีอานุภาพล้นเหลือจนใคร ๆ ต้านทานมิได้ นางเป็นหญิงที่แสนจะแบบบาง นางจะทนทานท่านต่อไปได้อย่างไร” นางคร่ำครวญฉะนี้แล้ว ก็ตะลีตะลานวิ่งไปที่สระน้ำ เอาน้ำมาชโลมใบหน้าและลูบตามเนื้อตามตัวสหายของนาง และพัดวีอยู่ไปมา นางเอาใบบัวมารองนอนให้อนงคมัญชรีรู้สึกอ่อนนุ่มเย็นสบาย และวางสร้อยมุกดาอันเย็นยะเยือกปานหิมะลงบนอกของนาง ทันใดนั้นอนงคมัญชรีก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าของนางนองชุ่มไปด้วยน้ำตาและกล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย สร้อยมุกดา และอื่น ๆ มันก็เย็นดีดอก แต่ก็เย็นนอกอกหาได้เข้าไปถึงภายในไม่ แต่ข้าก็เห็นว่าเจ้ารักข้าจริง เลยเกิดความคิดว่า เจ้าอาจะช่วยความทุกข์ของข้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาดและไว้ใจได้ คงจะเป็นสื่อช่วยให้ยอดรักของข้ามาหาข้าได้ ถ้าเจ้าประสงค์จะช่วยชีวิตของข้าจริง ๆ” เมื่อนางกล่าวดังนี้ มาลติกกาก็ตอบสนองด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มว่า “เพื่อนเอ๋ย เวลานี้ก็ใกล้จะสิ้นคืนแล้ว เอาเป็นพรุ่งนี้เถอะ ข้าจะไปที่บ้านหนุ่มน้อยนั่น เจรจากับเขาให้เข้าใจ แล้วจะนำยอดชายของเจ้ามาพบกับเจ้าที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านไปพักผ่อนก่อน เตรียมใจไว้ให้ดี พรุ่งเจ้าจะได้สมความปรารถนา”

           และตอนเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นนั้นเอง มาลติกาก็กระวีกระวาดออกจากบ้านไปอย่างเร้นลับโดยไม่มีใครเห็น ตรงไปบ้านของกมลากรทันที ได้ทราบว่าตัวของเขาเองหาได้อยู่ในบ้านไม่ แต่ลงไปที่สวนแต่เช้า นางก็ติดตามไปถึงสวนหลังบ้าน แลเห็นชายหนุ่มนอนอยู่ใต้ต้นไม้กำลังกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียงซึ่งปูลาดด้วยใบบัวอันเย็นชื้น มีอาการกระสับกระส่ายถอนใจด้วยความกลัดกลุ้มอันเป็นผลของความรักอันเร่าร้อนและทรมานสุดขีด มีสหายคนหนึ่งคอยปรนนิบัติเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วง โดยพัดวีด้วยใบตองที่ตัดมาสด ๆ นางก็กล่าวแก่ตัวเองว่า “อาการของหนุ่มน้อยแสดงว่าเป็นไข้ใจเพราะไม่ได้พบเห็นนางผู้เป็นที่รักของเขากระมังหนอ” คิดได้ดังนี้นางก็ตัดสินใจจะแอบดูเหตุการณ์ต่อไป

           ระหว่างนั้นเอง สหายของกมลากรก็กล่าแก่ชายหนุ่มว่า “เพื่อนเอ๋ย ลองมองดูรอบ ๆ ตัวของเจ้าสิ ธรรมชาติในสวนนี้น่าเพลินตาเพลินใจนัก ดูแล้วจะช่วยให้เจ้าสบายใจขึ้นบ้าง อย่าทำตัวเป็นคนหมดอาลัยตายอยากอย่างนี้เลย” เมื่อพราหมณ์หนุ่มได้ฟังดังนั้นก็กล่าวตอบผู้เป็นสหายว่า “เพื่อนเอ๋ย หัวใจของข้าถูกอนงคมัญชรีธิดาวาณิชเด็ดเอาไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้อกของข้าก็ว่างโหวงเหวงไปหมด ข้าจะเอาจิตใจที่ไหนมารื่นเริงได้เล่า ยิ่งกว่านี้พระอนงค์ยังเอาข้าไปทำแล่งธนูของพระองค์อีกเล่า เพื่อนเอ๋ย ถ้าเพื่อนจะช่วยเพื่อนละก็ ทำให้ข้าได้พบนางผู้เป็นยอดหทัยของข้าทีเถอะ”

           เมื่อได้ยินพราหมณ์หนุ่มพูดดังนี้ นางมาลติกาผู้ซ่อนตัวแอบฟังอยู่ก็หายสงสัย มีความยินดียิ่งนัก จึงเผยตัวให้ปรากฎ และเดินไปหาชายหนุ่มและกล่าวว่า “จงเป็นสุขเถิด บัดนี้อนงคมัญชรีส่งข้ามาพบท่าน ให้ช่วยสื่อสารให้ท่านทราบว่า ยอดชายที่นางใฝ่ฝันนั้นคิดถึงนางบ้างหรือเปล่า เพราะเขาจู่โจมเข้ามาเด็ดดวงหัยของนางไว้ในกำมือ แล้วหนีนางไปดื้อ ๆ ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีก ก็แปลกดีนะ นางเป็นฝ่ายที่ถูกท่านปล้นเอาหัวใจไป นางกลับขอจำนนต่อท่านทุกอย่างทั้งร่างกายและชีวิตของนาง ทั้งวันทั้งคืน นางทนทุกข์เฝ้าแต่ถอนใจใหญ่และกระสับกระส่ายกลิ้งเกลือกตัวไปมา นางต้อทนทรมานเพราะพิษแห่งศรรักที่ปักอก แต่นางก็เหมือนทรายหลงศร ยอมตายอย่างเต็มใจเพราะศรรักนั้น น้ำตานางไหลรินไม่ขาดสาย พาเอาสีอัญชันที่ทาเปลือกตาพลอยละลายเลอะแก้มของนางน่าเวทนานัก ฉะนั้นถ้าท่านต้องการให้ช่วย ข้าจะช่วยให้ท่านและนางได้พบกันและสมประสงค์กันทั้งสองฝ่าย”

           เมื่อนางมาลติกากล่าวอย่างนี้ กมลากรก็มีใจยินดียิ่งนัก ตอบนางว่า “โอ้ แม่นางผู้ใจบาม ถ้อยคำของท่านแม้จะปลอบข้าให้ชื่นใจ เพราะรู้ว่ายอดรักของข้ารักและคิดถึงข้าเช่นเดียวกัน แต่ข้าก็ยังเป็นห่วงางยิ่งนัก เพราะรู้ว่าข้าเองทำให้นางต้องเดือดร้อน และตรอมใจไร้ความสุขไปด้วย ในภาวะเช่นนี้ข้าก็เห็นแต่แม่นางเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของเรา เพราะฉะนั้นท่านเห็นว่าควรจะทำอย่างไร ก็ทำตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด” ได้ยินดังนั้นมาลติกาก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ ข้าจะพาอนงคมัญชรีลงไปที่สวนขวัญอย่างลับ ๆ เพื่อไปดักพบท่านที่นั่น ข้าจะคอยอยู่ข้างนอกและช่วยเปิดประตูให้ท่าน และด้วยวิธีนี้นางกับท่านก็จะได้พบกันสมความปรารถนา” เมื่อมาลติกาแนะแผนดังกล่าวอันทำให้พราหมณ์หนุ่มหน้ามนเกิดความหวังดังนั้นแล้ว นางก็อำลากลับไปแจ้งให้อนงคมัญชรีทราบ ทำให้นางมีความปลื้มใจยิ่งนัก

           ครั้นเมื่อดวงสูรยะคล้อยต่ำลง และค่อยหายไปพร้อมกับสนธยากาล ทำให้ท้องฟ้าเข้าสู่ความืดแลเห็นดาวสะพรั่งพรายเต็มท้องฟ้าระยิบระยับลำดับนั้น ดวงศศีก็เยี่ยมพ้นขอบฟ้าขึ้นมาส่องแสงขาวนวลสกาวแผ่ซ่านไปในวิศวากาศ ดอกบัวกุมุทก็ขยายกลีบเรียวแฉล้มฉลาต้อนรับแสงจันทร์ด้วยความยินดีประดุจจะกล่าวว่า “ความงามที่จากไปของเหล่าบัวในเวลากลางวัน ได้กลับมาหาข้าผู้เป็นบุปผาราตรีอีกครั้งหนึ่งแล้ว” ลำดับนั้นกมลากรคนรักของอนงคมัญชรีก็จัดกายแต่งตัวด้วยอาภรณ์อันงดงาม เดินไปสู่ที่นัดหมายด้วยหัวใจที่ร้อนรนจนแทบจะคอยต่อไปไม่ไหว เมื่อไปถึงประตูสวนของอนงคมัญชรีก็หยุดคอยอยู่นอกประตู สักครู่หนึ่งมาลติกาก็ย่องมาเปิดประตูสวน พาพราหมณ์หนุ่มเข้าไปสู่แท่นหินใต้ต้นอโศกอันแผ่ร่มเงาสาขาเป็นที่ร่มรื่น กมลากรก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับนาง พอพ้นเงาไม้ แสงจันทร์อันสว่างก็ส่องลงมาอาบร่างดูประดุจรูปสลักงาช้าง งามสง่าหาที่ติมิได้ ราวกับพระกามเทพมาปรากฎพระองค์เฉพาะหน้า

           อนงคมัญชรีผุดลุกขึ้นทันที หัวใจผวาต่อภาพที่เห็นประหนึ่งว่าภาพนั้นเป็นภาพมายาที่มาปรากฎให้หลงใหลชื่นใจชั่วขณะ และกำลังจะสลายหายวัดไป นางปราดเข้ากอดคอเขาไว้ ละล่ำละลักว่า “เจ้าหนีข้าไปไหน เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกกมลากรเอ่ญ เจ้าจริง ๆ หรือนี่ กมลากร ข้าไม่ได้ฝันไปดอกหรือ” นางสะอื้นด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นสุดระงับ “ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้พบเจ้าอีก ไหนขอดูหน้าให้เต็มตาสักนิดซิ” นางกอดเขาไว้แน่นด้วยความสุดเสน่หา เงยหน้าขึ้นสบตาอันเรียวยาวดั่งคันศรพระอนงค์แวบหนึ่ง พลางซบหน้าลงกับอกที่ผายผึ่งและแข็งแกร่งอย่างสิ้นแรง กมลากรรีบประคองไว้ทันที นางกระซิบว่า “ใช่แล้ว เจ้าเอง กมลากรของข้า ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าจนได้” ร่างงามดังอัปสรสวรรค์ของนางทรุดฮวบลง ดวงใจที่อัดแน่นด้วยความเสน่หาอันลึกซึ้งและร้อนแรงปานไฟเผา มิอาจะทนทานต่อไปได้ถึงกาลแตกสลาย นางสิ้นใจในวงแขนของเขาทันที กมลากรตกใจแทบสิ้นสติ ประคองร่างนางอันหาชีวิตไม่แล้ววางลงบนพื้น น้ำตานองหน้าด้วยความเสียใจสุดซึ้ง กล่าวด้วยความตกใจว่า “อนงคมัญชรี เจ้าหนีข้าไปแล้วหรือโธ่เอ๋ย ทำไมเป็นอย่างนี้”

           กมลากรก้มลงมองดูใบหน้าของนางอันงามผ่องปานพระพักตร์ของพระปัทมาวดี (ปัทมาวดี หรือปัทมา พระลักษมีชายาของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นเทวีแห่งโชคลาภและความงาม) พลางจุมพิตและอุ้มนางขึ้นมากอดไว้ ร่ำไห้ด้วยความรักและความเสียดายอย่างสุดระงับ ความร้อนแรงปะทุขึ้นในอกราวภูผาอัคนีระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ชายหนุ่มทรุดฮวบลงเคียงข้างนางและขาดใจตาย

           เมื่อนางมาลติกาเข้ามาดูก็เห็นคนทั้งสองกลายเป็นศพไปแล้ว นางตกใจและร่ำไห้ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะนึกไม่ถึงว่าอวสานจะมาถึงคู่รักทั้งสองอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ราตรีอันยาวนานก็ถึงความสิ้นสุดลงในเวลาใกล้รุ่ง ตอนเช้านั้นเอง ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายก็มากันพร้อมหน้า เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากคนทำสวน ก็เกิดความรู้สึกต่าง ๆ กัน มีทั้งความประหลาดใจ พิศวง เศร้าโศกเสียใจ และเสียดายอย่างสุดซึ้ง ต่างก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรกับศพคนทั้งสอง

           ขณะที่ตะลึงกันอยู่อย่างนั้นเอง มณิวรรมันสามีของอนงคมัญชรีก็เดินทางมาถึง หลังจากที่ไปเยี่ยมพ่อที่เมืองตามรลิปติชั่วคราว พอกลับมาถึงบ้านพ่อตาก็่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น มีความตกใจเป็นล้นพ้น รีบวิ่งมาสู่สวนขวัญทันที มีใบหน้าอันนองด้วยน้ำตา พอมาถึงก็เห็นเมีของเขานอนกอดกับชายอื่นและสิ้นใจตายเสียแล้ว ก็บังเกิดความเสียใจและเสียดายนางอย่างสุดซึ้ง หัวใจเขาก็แตกสลายวิ้นลมปราณในบัดดล ต่อมาไม่นาน ผู้คนทั้งหลายจากทุกทิศานุทิศได้ทราบข่าวก็รีบมายังที่เกิดเหตุ และเบียดเสียดยัดเยียดกันมุงดูด้วยความประหลาดใจ

           ขณะนั้นเอง พระแม่เจ้าจัณฑีอันสถิตเป็นประธานในเาลัยของเศรษฐี ที่สร้างไว้เป็นทีสักการะส่วนตัวก็ก้าวลงจากแท่น และปรากฎพระองค์ให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนในที่นั้น พร้อมด้วยคณะเทพบริวาร ญาติผู้ใหญ่ผู้หนึ่งของตระกูล จึงก้มลงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเทวีผู้ทรงศักดิ์ เศรษฐีวาณิชผู้เป็นบิดาของนางอนงคมัญชรีชื่อ อรรถทัตต์ ได้สร้างเทวาลัยในสวนนี้เพื่อถวายแก่พระแม่เจ้า และเขามีความศรัทธาต่อพระแม่เจ้าด้วยใจภักดีไม่มีเสื่อมคลาย ขอพระองค์ทรงช่วยให้เขาพ้นวิกฤตกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า” เมื่อพระเทวีผู้เป็นศิวชายา และเป็นนาถะของคนทั้งหลาย ได้ยินคำของร้องและเสียงสวดอ้อนวอนของเหล่าคณะเทพก็มีพระทัยเมตตายิ่งนัก ทรงประพรมน้ำทิพย์บนร่างของคนทั้งสาม ทำให้ฟื้นคืนสู่ความมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ต่างก็มีอาการเหมือนคนตื่นจากความฝัน เหลียวมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พระเทวีจึงตรัสว่า “จงได้สติดเถิด เจ้าผู้เป็นมรรตัยชนทั้งสาม เหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการกระทำของพระกามเทพผู้ทรงศรอันมีพิษร้ายกาจ ใครเล่าจะอาจต้านทานบุษปศรของพระมันมถะได้ บัดนี้เราได้ให้สติสัมปชัญญะคืนแก่เจ้าแล้ว พิษรักเป็นอันสิ้นสูญ เจ้าจงรู้จักฐานะอันแท้จริงของเจ้าเถิด กมลากรจงกลับไปบ้านของเจ้า จงลืมเสียให้หมดว่าเจ้าได้กระทำอะไรลงไป อนงคมัญชรีก็เช่นเดียวกัน จงลืมเหตุการณ์ครั้งนี้เสีย แล้วจงรักภักดีต่อสามีของเจ้า เพราะเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขารักเจ้ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก ข้าขอให้พรแก่เจ้าทั้งสองจงมีความสุข ในความรักของเจ้าตลอดไปเถิด” สิ้นเทวดำรัสร่างของพระจัณฑีก็หายวับกลับไปสู่เทวาลัยตามเดิม

           เมื่อเวตาลเล่านิทานของตนจบลงในระหว่างการเดินทางแล้ว ก็ตั้งปัญหาถามพระเจ้าตริวิกรมเสนว่า “โอ ราชะ ทรงตอบข้าสิว่า ในจำนวนคนที่ตายเพราะความรักทั้งสามคนนั้น คนไหนเล่าที่มีความรักอันแท้จริงยิ่งกว่าคนอื่น ๆ อย่าลืมนะพระเจ้าข้า แม้รู้แล้วไม่ตอบ พระเศียรจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่ ๆ” เมื่อพระราชาได้ฟังปัญหาของเวตาลเช่นนี้ก็ตรัสตอบว่า “ข้าเห็นว่า มณิวรรมันน่าจะเป็นคนที่มีความรักแท้จริงมากที่สุด เพราะความรักของอนงคมัญชรีกับกมลากรเป็นความรักแบบคนตาบอด ไม่มีเหตุผล และไม่มีความละอาย จะเรียกว่าเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวของคนสองคนนั้นก็ได้ ส่วนมณิวรรมันนั้นมีความรักอนงคมัญชรีอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเขาเห็นนางผู้เป็นภรรยาของเขานอนตายในอ้อมกอดของชายอื่น เขาก็มิได้ตำหนินางหรือโกรธนาง เพราะเขามิได้เห็นว่าคนทั้งสองกำลังหลู่เกียรติของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาทนได้เพราะรักนางอย่างแท้จริง เขามิได้เห็นว่าใครจะมีค่าสำหรับเขายิ่งไปกว่านาง และด้วยความรักความเสียดายนางเป็นล้นพ้นทำให้เข้าต้องตายลงด้วยความรัก ดังนั้นมณิวรรมันจึงควรนับได้ว่าเป็นผู้มีความรักอย่างแท้จริงในกรณีนี้”

           เมื่อพระราชาตรัสเฉลยดังนี้ เวตาลเจ้าเล่ห์ก็ได้โอกาสหายวับกลับไปสู่ถิ่นพำนักของตนด้วยความสะใจ ทำให้พระเจ้าตริวิกรมเสนต้องเสด็จกลับไปตามทางเดิมเพื่อเอาตัวมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ขอบพระคุณ : http://sukumal.brinkster.net/meaploy/vetal
no image
  • Blogger Comments
  • Facebook Comments

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment

Top