เพลงยาวถวายโอวาท สุนทรภู่แต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ไปบวชอยู่ที่วัดราชบูรณะ สันนิษฐานว่า จะแต่งประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๓ เวลานั้นเจ้าฟ้าอาภรณ์ทรงพระเจริญ เสด็จออกไปอยู่วังนอก สมเด็จกุฌฑลทิพยวดีพระมารดา ทรงมอบสมเด็จพระราชโอรส ซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่อีกสองพระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ หรือเจ้าฟ้ากลางกับเจ้าฟ้าปิ๋ว ให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ ตามเยี่ยงอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงเคยมอบเจ้าฟ้าอาภรณ์ ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์ใหญ่ให้เป็นศิษย์มาแต่ก่อน ต่อมาสุนทรภู่เกิดอธิกรณ์ถูกขับไล่ให้ออกจากวัดราชบูรณะ จึงคิดจะออกไปอยู่ตามหัวเมือง เมื่อสุนทรภู่จะไปจากวัดราชบูรณะ จึงได้แต่งเพลงยาวบทนี้ทูลลา และถวายโอวาทเจ้าฟ้าซึ่งเป็นศิษย์ทั้งสองพระองค์ แล้วขึ้นไปพระนครศรีอยุธยา ในคราวที่แต่งนิราศภูเขาทอง แต่มิได้ไปยังหัวเมืองช้านานเหมือนอย่างที่ได้คิดไว้เดิม ได้ขึ้นไปเพียงพระนครศรีอยุธยา แล้วเปลี่ยนความคิดกลับลงมาอยู่วัดอรุณ ฯ
เพลงยาวถวายโอวาท
|
|
กวี :
สุนทรภู่
|
|
ประเภท :
สุภาษิต
|
|
คำประพันธ์ :
กลอนสุภาพ
|
|
สมัย :
รัชกาลที่ ๓
|
|
ปีที่แต่ง :
พ.ศ. ๒๓๗๑-๒
|
|
๏ ควรมิควรจนจะพรากจากสถาน
|
|
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
|
ขอประทานโทษาอย่าราคี
|
ด้วยขอบคุณทูลกระหม่อมถนอมรัก
|
เหมือนผัดพักตร์ผิวหน้าเป็นราศี
|
เสด็จมาปราศรัยถึงในกุฎี
|
ดังวารีรดซาบอาบละออง
|
ทั้งการุณสุนทราคารวะ
|
ถวายพระวรองค์จำนงสนอง
|
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง
|
พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา
|
ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท
|
จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา
|
ต่อถึงพระวยาอื่นจักคืนมา
|
พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ
|
อย่ารู่โรคโศกเศร้าเหมือนเขาอื่น
|
พระยศยืนยอดมนุษย์สุดสรรเสริญ
|
มธุรสชดช้อยให้พลอยเพลิน
|
จะต้องเหินห่างเหทุกเวลา
|
ไหนจะคิดพิศวงถึงองค์ใหญ่
|
ทั้งอาลัยองค์น้อยละห้อยหา
|
มิเจียมตัวกลัวพระราชอาชญา
|
จะใส่บ่าแบกวางข้างละองค์
|
พาเที่ยวชมยมนามหาสมุทร
|
เมืองมนุษย์นกไม้ไพรระหง
|
ต่อรอนรอนอ่อนอับพยับลง
|
จึงจะส่งเสด็จให้เข้าในวัง
|
แต่ครั้งนี้วิบากจากพระบาท
|
ใจจะขาดคิดหมายไม่วายหวัง
|
มิสูญลับดับจิตชีวิตยัง
|
จะเวียนบังคมบาทไม่ขาดปี
|
แม้นไปทัพจับศึกก็นึกมาด
|
จะรองบาทบงกชบทศรี
|
สู้อาสากว่าจะตายวายชีวี
|
ด้วยภักดีได้จริงทุกสิ่งอัน
|
ขอฉลองสองพระองค์ดำรงรักษ์
|
ช่วยฉัดชักชุบย้อมกระหม่อมฉัน
|
ให้ยืนเหมือนเดือนดวงพระสุริยัน
|
เป็นคืนวันเที่ยงธรรมไม่ลำเอียง ฯ
|
๏ นิจจาเอ๋ยเคยรองละอองบาท
|
โปรดประภาษไพเราะเสนาะเสียง
|
แสนละม่อมน้อมพระองค์ดำรงเรียง
|
ดังเดือนเคียงแข่งคู่กับสุริยา
|
จงอยู่ดีศรีสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
|
ให้พระชนม์ยั่งยืนหมื่นพรรษา
|
ได้สืบวงศ์พงศ์มกุฏอยุธยา
|
บำรุงราษฎร์ศาสนาถึงห้าพัน
|
เหมือนสององค์ทรงนามพระรามลักษณ์
|
เป็นปิ่นปักปกเกศทุกเขตขัณฑ์
|
ประจามิตรคิดร้ายวายชีวัน
|
เสวยชั้นฉัตรเฉลิมเป็นเจิมจอม
|
จะไปจากสมเด็จพระเชษฐา
|
จงรักพระอนุชาอุตส่าห์ถนอม
|
พระองค์น้อยคอยประณตนิ่งอดออม
|
ทูลกระหม่อมครอบครองกันสององค์
|
อุตส่าห์เรียนเขียนอ่านบุราณราช
|
ไสยศาสตร์สงครามตามประสงค์
|
ลำดับศักดิ์จักพรรดิขัตติย์วงศ์
|
อุตส่าห์ทรงจดจำให้ชำนาญ
|
ด้วยพระองค์ทรงสยมบรมนาถ
|
บังคับราชการสิ้นทุกถิ่นฐาน
|
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ
|
มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน
|
อนึ่งให้รู้สุภาษิตบัณฑิตพระร่วง
|
โคลงเพชรพวงผิดชอบทรงสอบสวน
|
ราชาศัพท์รับสั่งให้บังควร
|
ทราบให้ถ้วนถี่ไว้จะได้ทูล
|
ทั้งพุทธไสยไตรดาทวายุค
|
ให้ทราบทุกที่ถวิลบดินทร์สูร
|
พระยศศักดิ์จักเฉลิมให้เพิ่มพูน
|
ได้พึ่งทูลกระหม่อมของฉันสององค์
|
แม้นออกวังตั้งใจจะไปอยู่
|
สำหรับปูเสื่อสาดคอยกวาดผง
|
ขอพึ่งบุญพูนสวัสดิ์เหม์อนฉัตรธง
|
ได้ดำรงร่มเกล้าทั้งเช้าเย็น
|
แต่ยามนี้มีกรรมจะจำจาก
|
ด้วยแสนยากยังไม่มีที่จะเห็น
|
เพราะพระเจ้าเยาว์นักต้องรักเร้น
|
จึงจำเป็นจำพรากจำจากไป
|
ขอพระองค์จงเอ็นดูอย่ารู้ร้าง
|
ให้เหมือนอย่างเมรุมาศไม่หวาดไหว
|
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัย
|
น้ำพระทัยทูลเกล้าจงยาวยืน
|
ถึงร้อยปีมิได้มาก็อย่าแปลก
|
ให้เหมือนแรกเริ่มตรัสไม่ขัดขืน
|
เช่นงางอกออกไปมิได้คืน
|
จึงจักยืนยืดยาวดังกล่าวคำ
|
ของพระองค์ทรงยศเหมือนคชบาท
|
อย่าให้พลาดพลั้งเท้าก้าวถลำ
|
ระมัดโอษฐ์โปรดให้พระทัยจำ
|
จะเลิศล้ำลอยฟ้าสุราลัย ฯ
|
๏
หนึ่งนักปราชญ์ราชครูซึ่งรู้หลัก
|
อย่าถือศักดิ์สนทนาอัชฌาสัย
|
อุตส่าห์ถามตามประสงค์จำนงใน
|
จึงจักได้รู้รอบประกอบการ
|
หนึ่งบรรดาข้าไทที่ใจซื่อ
|
จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
|
หนึ่งคนมนต์ขลังช่างชำนาญ
|
แม้พบพานผูกไว้เป็นไมตรี
|
เขาทำชอบปลอบให้นำใจชื่น
|
จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
|
ปรารถนาสารพัดในปัฐพี
|
เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
|
คำบุราณท่านว่าเหล็กแข็งกระด้าง
|
เอาเงินง้างอ่อนตามความประสงค์
|
จงทราบไว้ใต้ละอองทั้งสององค์
|
อุตส่าห์ทรงสืบสร้างทางไมตรี
|
แต่คนร้ายหลายลิ้นย่อมปลิ้นปลอก
|
เลี้ยงมันหลอกหลอนเล่นเหมือนเช่นผี
|
อย่าพานพบคบค้าเป็นราคี
|
เหมือนพาลีหลายหน้าระอาอาย
|
อันคนดีมีสัตย์สันทัดเที่ยง
|
ช่วยชุบเลี้ยงชูเชิดให้เฉิดฉาย
|
เอาไว้ใช้ใกล้ชิดไม่คิดร้าย
|
เขารักตายด้วยได้ด้วยใจตรง
|
อันโซ่ตรวนพรวนพันมันไม่อยู่
|
คงหนีสู้ซ่อนหมุนในฝุ่นผง
|
แม้นผูกใจไว้ด้วยปากไม่จากองค์
|
อุตส่าห์ทรงทราบแบบที่แยบคาย
|
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
|
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
|
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
|
เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ
|
จะรักชังทั้งสิ้นเพราะลิ้นพลอด
|
เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย
|
อันช่างปากยากที่จะมีใคร
|
เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึง
|
จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์
|
ถ้าสูงนักแล้วก็เขาเข้าไม่ถึง
|
ครั้นต่ำนักมักจะผิดคิดรำพึง
|
พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนัก ฯ
|
๏ อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
|
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
|
สงวนคมสมนึกในฮึกฮัก
|
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย
|
จับให้หมั้นคั้นหมายให้วายวอด
|
ช่วยให้รอดรักให้ชิดพิสมัย
|
ตัดให้ขาดปรารถนาหาสิ่งใด
|
เพียรจงได้ดังประสงค์ที่ตรงตี
|
ธรรมดาว่ากษัตริย์อัติเรก
|
เป็นองค์เอกอำนาจดังราชสีห์
|
เสียงสังหารผลาญสัตว์ในปัฐพี
|
เหตุเพราะมีลมปากนั้นมากนัก
|
เหมือนหน่อเนื้อเชื้อวงศ์ที่องอาจ
|
ย่อมเปรื่องปราดปรากฏเพราะยศศักดิ์
|
ผู้ใหญ่น้อยพลอยมาสวามิภักดิ์
|
ได้พร้อมพรักทั้งปัญญาบารมี
|
ถ้าคร้านเกียจเกียรติยศก็ถดถอย
|
ข้าไทพลอยแพลงพลิกออกหลีกหนี
|
ต้องเศร้าสร้อยน้อยหน้าทั้งตาปี
|
ทูลดังนี้กลัวจะเป็นเหมือนเช่นนั้น
|
ด้วยไหนไหนก็มาสวามิภักดิ์
|
หมายจะรักพระไปกว่าจะอาสัญ
|
จึงทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน
|
ล้วนสำคัญขออย่าให้ผู้ใดดู ฯ
|
๏ พระผ่านเกล้าเจ้าฟ้าบรรดาศักดิ์
|
แม้นไม่รักษายศจะอดสู
|
ซึ่งยศศักดิ์จักประกอบจำรอบรู้
|
ได้เชิดชูช่วยเฉลิมให้เพิ่มพูน
|
อันเผ่าพงศ์วงศาสุรารักษ์
|
สามิภักดิ์พึ่งปิ่นบดินทร์สูร
|
ที่สิ่งไรไม่ทราบได้กราบทูล
|
จึงเพิ่มพูนภาคหน้าปรีชาชาญ
|
ประเพณีที่บำรุงกรุงกษัตริย์
|
ปฏิพัทธิ์ผ่อนผันความบรรหาร
|
ต่างพระทัยนัยน์เนตรสังเกตการ
|
ตามบุราณเรื่องราชานุวัตร
|
จงพากเพียรเรียนไว้จะได้ทราบ
|
ทั้งกลอนกาพย์การกลปรนนิบัติ
|
หนึ่งแข็งอ่อนผ่อนผันให้สันทัด
|
ตามกษัตริย์สุริย์วงศ์ดำรงดิน
|
อนึ่งแยบยลกลความสงครามศึก
|
ย่อมเหลือลึกล้ำมหาชลาสินธุ์
|
เร่งฝึกฝนกลการผลาญไพริน
|
ให้รู้สิ้นรู้ให้มั่นกันนินทา
|
อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก
|
แม้นถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา
|
เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา
|
แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ ฯ
|
๏
ซึ่งเปรียบปรายหมายเหมือนเตือนพระบาท
|
ให้เปรื่องปราดปรีชาศักดาหาญ
|
แม้นหากฝ่าละอองไม่ต้องการ
|
โปรดประทานโทษกรณ์ที่สอนเกิน
|
ด้วยรักใคร่ได้มาเป็นข้าบาท
|
จะบำราศแรมร้างไม่ห่างเหิน
|
เป็นห่วงหลังหวังใจให้เจริญ
|
ใช่จะเชิญชวนชั่วให้มัวมอม
|
พระมีคุณอุ่นอกเมื่อตกยาก
|
ถึงตัวจากแต่จิตสนิทสนอม
|
จะจำไปไพรพนมด้วยตรมตรอม
|
ทูลกระหม่อมเหมือนแก้วแววนัยนา
|
พระองค์น้อยเนตรซ้ายไม่หมายร้าง
|
พระองค์กลางอยู่เกศเหมือนเนตรขวา
|
ความรักใคร่ไม่ลืมปลื้มวิญญาณ์
|
ได้พึ่งพาพบเห็นค่อยเย็นทรวง
|
สามิภักดิ์รักใคร่จะไปเฝ้า
|
พระทูลเกล้าก็ยังอยู่ที่วังหลวง
|
จะสั่งใครไปเล่าเขาก็ลวง
|
ต้องนิ่งง่วงเหงาอกตกตะลึง
|
ครั้นหาของต้องประสงค์ส่งถวาย
|
ก็สูญหายเสียมิได้เข้าไปถึง
|
ทุกค่ำเช้าเศร้าจิตคิดรำพึง
|
ด้วยลึกซึ้งสุดจิตจะติดตาม
|
จะร่ำลักษณ์อักษรเป็นกลอนกาพย์
|
ทูลให้ทราบสิ้นเสร็จก็เข็ดขาม
|
กตัญญูสู้อุตส่าห์พยายาม
|
ไม่ลืมความรักใคร่อาลัยลาน
|
ถึงลับหลังยังช่วยอวยสวัสดิ์
|
ให้สมบูรณ์พูนสวัสดิ์พัสถาน
|
คอยถามข่าวชาววังฟังอาการ
|
ได้ทราบสารว่าเป็นสุขทุกพระองค์
|
พลอยยินดีปรีดาประสายาก
|
เหมือนกาฝากฝ่าพระบาทดังราชหงส์
|
ไม่หายรักมักรำลึกนึกจำนง
|
ไม่เห็นองค์เห็นแต่ฟ้าก็อาวรณ์
|
จึงพากเพียรเขียนความตามสุภาพ
|
หวังให้ทราบเรื่องลักษณ์ในอักษร
|
จะได้วางข้างพระแท่นแทนสุนทร
|
ที่จากจรแต่ใจอาลัยลาน
|
ซึ่งทูลเตือนเหมือนจะชูให้รู้รอบ
|
ขอความชอบตราบกัลปาวสาน
|
อย่าฟังฟ้องสองโสตจงโปรดปราน
|
ด้วยลมพาลพานพัดอยู่อัตรา
|
ถึงแม้นมาตรขาดเด็ดไม่เมตตา
|
กรุณาแต่หนังสืออย่าถือความ ฯ
|
๏ อนึ่งคำนำถวายหมายว่าชอบ
|
แม้นทรงสอบเสียวทราบว่าหยาบหยาม
|
อย่าเฉียวฉุนหุนหวนว่าลวนลาม
|
เห็นแก่ความรักโปรดซึ่งโทษกรณ์
|
แม้นเห็นจริงสิ่งสวัสดิ์อย่าผัดเพี้ยน
|
เร่งร่ำเรียนตามคำที่พร่ำสอน
|
ดูดินฟ้าหน้าหนาวหรือคราวร้อน
|
เร่งผันผ่อนพากเพียรเรียนวิชา
|
ซึ่งประโยชน์โพธิญาณเป็นการเนิ่น
|
พอจำเริญรู้ธรรมคำคาถา
|
ถือที่ข้ออรหัตวิปัสสนา
|
เป็นวิชาฝ่ายพุทธ์นี้สุดดี
|
ข้างฝ่ายไสยไตรเพทวิเศษนัก
|
ให้ยศศักดิ์สูงสง่าเป็นราศี
|
สืบตระกูลพูนสวัสดิ์ในปัฐพี
|
ได้เป็นที่พึ่งพาเหล่าข้าไท ฯ
|
๏ ซึ่งทูลความตามซื่ออย่าถือโทษ
|
ถ้ากริ้วโกรธตรัสถามตามสงสัย
|
ด้วยวันออกนอกพรรษาขอลาไป
|
เหลืออาลัยทูลกระหม่อมให้ตรอมทรวง
|
เคยฉันของสองพระองค์ส่งถวาย
|
มิได้วายเว้นหน้าท่านข้าหลวง
|
จะแลลับดับเหมือนดังเดือนดวง
|
ที่แลล่วงลับฟ้าสุธาธาร
|
ถึงมาเฝ้าเล่าที่ไหนจะได้เห็น
|
ด้วยว่าเป็นขอบเขตนิเวศน์สถาน
|
จะตั้งแต่แลลับอัประมาณ
|
เห็นเนิ่นนานนึกน่าน้ำตากระเด็น
|
ต่อโสกันต์วันพระองค์ทรงสิกขา
|
จะได้มานอบนบได้พบเห็น
|
ให้ใช้สอยคอยเฝ้าทุกเช้าเย็น
|
มิให้เต้นโลดคะนองทั้งสององค์
|
ด้วยเหตุว่าฝ่าพระบาทได้ขาดเสร็จ
|
โดยสมเด็จประทานตามความประสงค์
|
ทูลกระหม่อมยอมในพระทัยปลง
|
ถวายองค์อนุญาตเป็นขาดคำ
|
ในวันนั้นวันอังคารพยานอยู่
|
ปีฉลูเอกศกแรมห้าค่ำ
|
ขอละอองสองพระองค์จงทรงจำ
|
อย่าเชื่อคำคนอื่นไม่ยืนยาว
|
อย่างหม่อมฉันอันที่ดีแลชั่ว
|
ถึงลับตัวก็แต่ชื่อเขาลือฉาว
|
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว
|
เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร
|
แผ่นดินหลังครั้งพระโกศก็โปรดเกศ
|
ฝากพระเชษฐานั้นให้ฉันสอน
|
สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญของสุนทร
|
ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม
|
หากสมเด็จเมตตาว่าข้าเก่า
|
ประทานเจ้าครอกฟ้าบูชาเฉลิม
|
ไม่ลืมคุณทูลกระหม่อมเหมือนจอมเจิม
|
จะขอเพิ่มพูนพระยศให้งดงาม
|
เผื่อข้าไทไม่มีถึงที่ขัด
|
กับหนูพัดหนูตาบจะหาบหาม
|
สองพระองค์จงอุตส่าห์พยายาม
|
ประพฤติตามแต่พระบาทมาตุรงค์
|
รักษาพระยศอุตส่าห์รักษาสัตย์
|
พูนสวัสดิ์สังวาสตามราชหงส์
|
เห็นห้วยหนองคลองน้อยอย่าลอยลง
|
จะเสียทรงสีทองละอองนวล
|
สกุลกาสาธารณ์ถึงพานพบ
|
อย่าควรคบคิดรักศักดิ์สงวน
|
เหมือนชายโฉดโหดไร้ที่ไม่ควร
|
อย่าชักชวนชิดใช้ให้ใกล้องค์
|
อันนักปราชญ์ราชครูเหมือนคูหา
|
เป็นที่อาศัยสกุลประยูรหงส์
|
จงสิงสู่อยู่แต่ห้องทองประจง
|
กว่าจะทรงปีกกล้าถาทะยาน
|
ขึ้นร่อนเร่เวหนให้คนเห็น
|
ว่าชาติเช่นหงสาศักดาหาญ
|
ได้ปรากฏยศยงตามวงศ์วาน
|
พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร
|
ควรมิควรส่วนผลาอานิสงส์
|
ซึ่งรูปทรงสังวรรัตน์ประภัสสร
|
ให้สี่องค์ทรงมหาสถาวร
|
ถวายพรพันวสาขอลาเอย ฯ
|
วันนี้ครบรอบวันเกิดสุนทรภู่กี่ปีแล้วเอ่ย ?? : D
ขอบพระคุณ : http://www1.mod.go.th/heritage/nation/proverb/index30.htm
http://www.reurnthai.com/wiki/เพลงยาวถวายโอวาท
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment