อิเหนา หรือดาหลัง เป็นบทพระราชนิพนธ์และบทพระนิพนธ์ของเจ้านายหลายพระองค์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีชื่อเสียงในกระบวนบทละครรำเป็นที่สุด คือบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื้อความเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ชวา ชื่อวงศ์อสัญแดหวา ผู้สืบเชื้อสายมาจากประตาระกาหลา ที่ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เปรียบได้กับเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น อิเหนาเป็นชื่อที่เราเรียกตัวเอกของเรื่อง คือระเด่นมนตรี ผู้เป็นเจ้าชายแห่งเมืองกุเรปัน เมื่อยังเด็กได้หมั้นหมายไว้กับระเด่นบุษบา เจ้าหญิงเมืองดาหา เมื่ออิเหนาเติบโตเป็นหนุ่ม ต้องไปราชกิจต่างเมือง และได้พบกับนางจินตหรา ธิดาของเจ้าระตูบ้านนอก จนได้นางเป็นชายา ความทราบถึงเมืองดาหา ท้าวดาหาโกรธนัก จึงยกนางบุษบาให้แก่ระตูจรกา ผู้รูปชั่วตัวดำแต่มีใจมั่นคงสัตย์ซื่อ ครั้นมาภายหลัง อิเหนาได้พบกับบุษบา และเกิดหลงรักนางจนสุดชีวิตจิตใจ นึกเสียดายที่ตนต้องเสียคู่หมั้นแสนสวยให้แก่ระตูรูปชั่ว อิเหนาจึงลักพาตัวนางบุษบามาไว้ยังถ้ำทอง
นิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่จับความจากตอนที่อิเหนากลับจากไปแก้สงสัยที่เมืองดาหา แล้วกลับมาก็พบว่า บุษบาถูกลมพายุหอบพัดเอาตัวนางหายไปจากถ้ำทองเสียแล้ว อิเหนาจึงยกทัพออกติดตาม ระหว่างทางก็รำพันคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่มิได้ขาด อิเหนาเดินทางติดตามอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ก็ยังไม่พบ เนื้อเรื่องจบลงที่อิเหนาและไพร่พลออกบวช เพื่อส่งกุศลให้บุษบาที่อิเหนาคิดว่าคงตายไปแล้ว
ไม่ปรากฏว่าท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้ไว้เมื่อใด แต่คงจะแต่งถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานจากสำนวนกลอนว่า สุนทรภู่น่าจะแต่งเรื่องนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อครั้งสุนทรภู่ได้อาศัยพึ่งพระบารมีอยู่
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/inao-01.html
นิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่จับความจากตอนที่อิเหนากลับจากไปแก้สงสัยที่เมืองดาหา แล้วกลับมาก็พบว่า บุษบาถูกลมพายุหอบพัดเอาตัวนางหายไปจากถ้ำทองเสียแล้ว อิเหนาจึงยกทัพออกติดตาม ระหว่างทางก็รำพันคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่มิได้ขาด อิเหนาเดินทางติดตามอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ก็ยังไม่พบ เนื้อเรื่องจบลงที่อิเหนาและไพร่พลออกบวช เพื่อส่งกุศลให้บุษบาที่อิเหนาคิดว่าคงตายไปแล้ว
ไม่ปรากฏว่าท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้ไว้เมื่อใด แต่คงจะแต่งถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานจากสำนวนกลอนว่า สุนทรภู่น่าจะแต่งเรื่องนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อครั้งสุนทรภู่ได้อาศัยพึ่งพระบารมีอยู่
นิราศอิเหนา
|
|
กวี : สุนทรภู่
|
|
ประเภท : กลอนนิราศ
|
|
คำประพันธ์ : กลอนสุภาพ
|
|
สมัย : รัชกาลที่ ๓
|
|
๏ นิราศร้างห่างเหเสน่หา
|
|
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา
|
พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
|
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม
|
สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
|
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
|
น้องจะลอยลมบนไปหนใด
|
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง
|
ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน
|
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย
|
สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง
|
หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส
|
ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง
|
หรือเมขลาพาชวนนวลละออง
|
เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร
|
หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส
|
บริเวณเมรุมาศราชสิงขร
|
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง
|
จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว
|
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ
|
นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลา ฯ
|
๏ พระผันแปรแลรอบขอบทวีป
|
เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา
|
จะแลดูสุริยนก็สนธยา
|
จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน
|
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง
|
เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน
|
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน
|
ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง
|
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด
|
ระทวยทดทอดทบซบกันแสง
|
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง
|
ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง
|
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท
|
ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง
|
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง
|
พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรม ฯ
|
๏ โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้
|
เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม
|
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม
|
ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ
|
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน
|
แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน
|
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน
|
วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน
|
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม
|
เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร
|
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน
|
สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี
|
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม
|
ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี
|
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้
|
เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวง ฯ
|
๏ โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม
|
เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง
|
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง
|
เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย
|
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน
|
ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย
|
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย
|
แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน
|
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า
|
พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน
|
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์
|
สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพต ฯ
|
๏ พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง
|
กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด
|
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต
|
พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน
|
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย
|
เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน
|
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน
|
จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์
|
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส
|
ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน
|
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร
|
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรย ฯ
|
๏ โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน
|
เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย
|
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย
|
พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง
|
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง
|
เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง
|
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง
|
เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง
|
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง
|
แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง
|
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์
|
เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง
|
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง
|
แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง
|
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง
|
พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย
|
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด
|
ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว
|
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย
|
ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น
|
เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน
|
เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น
|
ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น
|
ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา
|
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ
|
ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา
|
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา
|
หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด
|
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง
|
จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว
|
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
|
ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง
|
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ
|
บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง
|
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง
|
อาบละอองเกสรขจรจาย ฯ
|
๏ จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น
|
ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย
|
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย
|
ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ
|
จำจะตามทรามชมทางลมพัด
|
เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน
|
ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย
|
ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา
|
จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ
|
จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา
|
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา
|
ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไป ฯ
|
๏ พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน
|
ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย
|
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป
|
จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย
|
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด
|
ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย
|
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย
|
จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนิน ฯ
|
๏ โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ
|
จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน
|
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน
|
เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง
|
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น
|
ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง
|
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง
|
ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง
|
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก
|
ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง
|
แม้นพบเห็นเป็นตัวไม่กลัวเกรง
|
จะรำเพลงกริชผลาญสังหารลม
|
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเป็นเคราะห์
|
มาจำเพาะพลัดคู่เคยสู่สม
|
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์
|
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
|
แต่จำเป็นเกนหลงมาดงด้วย
|
ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว
|
กรดกระถินอินจันพรรณไม้
|
มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว
|
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง
|
บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว
|
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว
|
เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้า ฯ
|
๏ พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม
|
ให้ชมเพลินเดินมะงุมมะงาหรา
|
ป่าประเทศเขตแคว้นแดนชวา
|
อินทะผาลัมชุมสลุมพัน
|
โกฐสดำจำปาดะดงองุ่น
|
สหัสคุณขึ้นระคนปนปาหนัน
|
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน
|
หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง
|
โกฐกระวานกานพลูดูระบัด
|
กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง
|
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง
|
พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง
|
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน
|
เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง
|
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง
|
สมส้มกุ้งโกศจุฬาการบูร ฯ
|
๏ คิดถึงนุชบุษบานิจจาเอ๋ย
|
มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ
|
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร
|
ยิ่งเพิ่มพูนพิศวงในดงแดน
|
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ
|
เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน
|
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน
|
ละม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม
|
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง
|
น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม
|
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม
|
ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนิน ฯ
|
๏ พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ
|
บ้างสูงลิบลอยแหงนเป็นแผ่นเผิน
|
บ้างทะมึนทึนเทิ่งเป็นเชิงเทิน
|
เป็นกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร
|
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิลึก
|
สะท้านสะทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน
|
ที่น้ำโจนโผนพังดังสะท้าน
|
บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน
|
คะนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น
|
จะลงเล่นลำธารละหานหิน
|
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน
|
กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน
|
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน
|
ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน
|
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล
|
ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง
|
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง
|
ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง
|
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง
|
ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระทัย
|
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตเปลี่ยว
|
เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล
|
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้
|
บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน
|
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน
|
เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ
|
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน
|
มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น
|
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น
|
ถอนสะอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น
|
พอเวลาสายัณห์ตะวันเย็น
|
นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน
|
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก
|
แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
|
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน
|
ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกราย ฯ
|
๏ คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร
|
เมื่อทอดกรฟ้อนรำระบำถวาย
|
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย
|
สะอื้นอายมยุราให้อาวรณ์
|
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง
|
แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน
|
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน
|
เป็นคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม
|
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์
|
ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม
|
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม
|
ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน
|
เหล่าละเมาะเงาะป่าคุลาอยู่
|
เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล
|
สิงโตตื่นยืนหยัดสะบัดตน
|
เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน
|
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม
|
เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน
|
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน
|
เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง
|
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช
|
สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง
|
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง
|
พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย
|
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง
|
คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย
|
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย
|
มิได้เชยบุษบาพะงางอน ฯ
|
๏ พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ
|
โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร
|
พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน
|
ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง
|
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น
|
แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง
|
ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงดัง
|
หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาลัย
|
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ
|
ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล
|
โอ้ตะวันครั้นจะลบภพไตร
|
ก็อาลัยโลกยังหยุดรั้งรอ
|
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ
|
เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ
|
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงคลั่งคลอ
|
ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย
|
ชะนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง
|
เสียงแซ่ซ้องเริ่มรัวเรียกผัวโหวย
|
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย
|
ละห้อยโหยหานางมากลางไพร ฯ
|
๏ พระสุริยงลงลับพยับค่ำ
|
ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว
|
หยุดสำนักพักพลสกลไกร
|
พระเนาในรถทองกับน้องยา
|
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด
|
ให้บรรทมโสมนัสในรัถา
|
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา
|
พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ
|
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม
|
งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
|
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย
|
อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง
|
เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่
|
มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์
|
เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์
|
มากำบังใบไม้ในไพรวัน
|
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน
|
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
|
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
|
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
|
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง
|
ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย
|
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย
|
เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด
|
โอ้เวลาปานฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย
|
กระไรเลยแลเงียบเชียบสงัด
|
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด
|
ดึกสงัดดวงจิตจงนิทรา
|
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่
|
ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา
|
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา
|
พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง
|
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม
|
มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง
|
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง
|
พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง
|
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย
|
ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง
|
เมื่ออุ้มออกนอกเขตนิเวศน์วัง
|
พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม
|
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ
|
สะอื้นโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมเสงี่ยมหงิม
|
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม
|
ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤทัย
|
พระครวญคร่ำรำลึกจนดึกเงียบ
|
เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
|
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร
|
ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม
|
สุมามาลย์บานกลิ่นระรินรื่น
|
ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งระหึม
|
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม
|
โขมดพึมผิวกู่หวิวหวู่โวย
|
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน
|
ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย
|
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย
|
ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย
|
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า
|
องค์ประตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย
|
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย
|
เป็นคู่เชยชมชื่นให้คืนมา
|
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น
|
ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา
|
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา
|
ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน
|
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์
|
จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์
|
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวัณย์
|
จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศ ฯ
|
๏ จนพลบค่ำรำลึกนึกอนาถ
|
ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด
|
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันให้รันทด
|
ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน
|
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป
|
เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน
|
ไม่พบเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ
|
ไปจนเกินมะละกาพาราราย ฯ
|
๏ เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ
|
ต่างแต่งราชธิดามาถวาย
|
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย
|
แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทัดเทียม
|
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด
|
ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม
|
แต่ปราศรัยไต่ถามตามธรรมเนียม
|
ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไป ฯ
|
๏ ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดแล้ว
|
ไม่พบแก้วกลอยจิตพิสมัย
|
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ
|
ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง
|
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์
|
ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง
|
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง
|
ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น
|
ที่ธารถ้ำน้ำพุทะลุลั่น
|
เป็นช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น
|
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น
|
ดอกไม้เป็นดอกพร้อมหอมรัญจวน
|
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา
|
เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
|
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน
|
ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
|
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
|
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
|
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
|
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
|
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท
|
เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
|
แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย
|
จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
|
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม
|
รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
|
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต
|
อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
|
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช
|
ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
|
จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย
|
ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอน ฯ
|
๏ คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง
|
บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าสิงขร
|
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์
|
หวังสมรเหมือนจะคลาดในชาตินี้
|
จะอุตส่าห์ปะตาปารักษากิจ
|
อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี
|
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี
|
ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน
|
เป็นจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ
|
ให้สนิทเสน่หาตุนาหงัน
|
แม้นเป็นไทยให้เป็นวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์
|
พอโสกันต์ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง
|
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ
|
เข้าห้องหับโหยไห้พระทัยหมอง
|
ทุกเช้าค่ำรำลึกเฝ้าตรึกตรอง
|
จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอย ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/inao-01.html
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment