นิราศพระประธมนี้ สันนิษฐานว่าท่านสุนทรภู่แต่งเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านน่าจะเดินทางเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ ช่วงหน้าหนาว อันเป็นฤดูน้ำขึ้น ชาวบ้านสามารถพายเรือไปถึงบริเวณพระเจดีย์ได้ ด้วยองค์พระเจดีย์นั้นอยู่บนที่ดอน หากไปในหน้าแล้ง ก็จะต้องเดินเท้ากันเข้าไปไกลๆ พระประธมเจดีย์ หรือพระปฐมเจดีย์ในสมัยนั้น มิใช่องค์ที่เห็น ณ ปัจจุบันนี้ แต่เป็นเจดีย์รูปโอคว่ำ เหมือนสัญจิเจดีย์ในอินเดีย มีการบูรณะกันมาหลายครั้ง มาบูรณะเป็นองค์พระเจดีย์เช่นปัจจุบันในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในนิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่ยังได้เล่าถึงตำนานของพระยากง พระยาพาน ตามที่ได้ฟังจากชาวบ้านมาไว้ด้วย
นิราศเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราได้ทราบถึงประวัติหลายๆ ส่วนในชีวิตของท่านสุนทรภู่ ท่านได้กล่าวถึงสตรีหลายนาง ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต ด้วยลีลากลอนอันเศร้าซึ้งรันทดยิ่งนัก บุคลิก ลักษณะ กระทั่งชื่อของสตรีเหล่านั้น เราจะสังเกตได้ว่า เธอได้มาปรากฏอยู่ในงาน "พระอภัยมณี" ของสุนทรภู่หลายท่านทีเดียว
สิ่งที่น่าสังเกต ในงานนิราศของท่านทุกเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลังการเสด็จสวรรคตของ "พระผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร" คือ องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านสุนทรภู่จักต้องรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นของพระองค์ และถวายพระราชกุศลทุกครั้ง
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/prathom-01.html
นิราศเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราได้ทราบถึงประวัติหลายๆ ส่วนในชีวิตของท่านสุนทรภู่ ท่านได้กล่าวถึงสตรีหลายนาง ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต ด้วยลีลากลอนอันเศร้าซึ้งรันทดยิ่งนัก บุคลิก ลักษณะ กระทั่งชื่อของสตรีเหล่านั้น เราจะสังเกตได้ว่า เธอได้มาปรากฏอยู่ในงาน "พระอภัยมณี" ของสุนทรภู่หลายท่านทีเดียว
สิ่งที่น่าสังเกต ในงานนิราศของท่านทุกเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลังการเสด็จสวรรคตของ "พระผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร" คือ องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านสุนทรภู่จักต้องรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นของพระองค์ และถวายพระราชกุศลทุกครั้ง
นิราศพระประธม
|
|
กวี : สุนทรภู่
|
|
ประเภท : กลอนนิราศ
|
|
คำประพันธ์ :
กลอนสุภาพ
|
|
สมัย :
รัชกาลที่ ๓
|
|
ปีที่แต่ง :
พ.ศ. ๒๓๘๕
|
|
๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
|
|
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
|
พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
|
น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าว
|
อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม
|
มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยม
|
ยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน
|
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด
|
ไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน
|
พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวน
|
มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน ฯ
|
๏ ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ
|
ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
|
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน
|
ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
|
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่
|
ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์
|
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง
|
ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย ฯ
|
๏ วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ
|
ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย
|
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย
|
มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล
|
จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง
|
ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
|
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน
|
แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว
|
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ
|
ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว
|
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว
|
เป็นลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหวัวใจ
|
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค
|
แต่ความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน
|
แม้นได้แก้วแววตามายาใจ
|
แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง ฯ
|
๏ ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต
|
เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง
|
มายามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง
|
อนาถนิ่งน้อยหน้าน้ำตานอง
|
บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิสมัย
|
น้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง
|
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง
|
เห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี
|
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ
|
เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี
|
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี
|
มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน
|
ขอบุญญาอานิสงส์จำนงสนอง
|
ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปัฏิสนธิ์
|
ศิวาลัยไตรภพจบสกล
|
ประจวบจนได้พบประสบกัน
|
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์
|
จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์
|
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน
|
อย่ามีอันตรายเป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ
|
๏ วัดประขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้
|
ด้วยดวงใจเจ้ามันคล้ำดำมิดหมี
|
แม่หม้ายสาวขาวโศกโฉลกมี
|
เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว
|
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาดนิราศร้าง
|
เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว
|
ทั้งเกลียดลิ้นนินทาพาลาเลว
|
เหมือนควันเปลวปลิวต้องให้หมองมอม
|
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย
|
จะชวดเชยชวดชิดสนิทสนอม
|
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม
|
ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ
|
๏ บางบำหรุเหมือนบำรุบำรุงรัก
|
จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาดหมาย
|
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย
|
เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม
|
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด
|
พยุพัดฮือฮือกระพือโหม
|
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม
|
น้ำค้างโซมแสนหนาวให้เปล่าใจ
|
บางขุนนนท์ต้นลำภูดูหิ่งห้อย
|
เหมือนเพชรพร้อยพรอยพร่างสว่างไสว
|
จังหรีดร้องซ้องเสียงเรียงเรไร
|
จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน
|
บางระมาดมาดหมายสายสวาท
|
ว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน
|
แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือน
|
มีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ
|
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ
|
กอระกำแกมสละขึ้นไสว
|
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ
|
ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง
|
ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก
|
เหลือที่จักจับต้องเป็นของหลวง
|
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
|
ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร
|
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าแต่เสาวรส
|
ยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร
|
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน
|
ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย
|
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด
|
แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหวย
|
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย
|
โอ้โศกโรงเหมือนพี่ร้างมาทางจร ฯ
|
๏ ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง
|
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน
|
ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน
|
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
|
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น
|
โอ้หอมชื่นเช่นกับรสแป้งสดใส
|
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาลัย
|
ที่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล
|
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น
|
มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน
|
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน
|
เหมือนจะชวนชื่นใจเมื่อไกลเชย
|
บางสนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน
|
หนามทุเรียนรักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย
|
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย
|
ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน
|
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท
|
มาสิ้นชาติชนมโลกให้โศกแสน
|
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน
|
ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ ฯ
|
๏ ถึงวัดเกดเจตนาแต่การะเกด
|
ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล
|
เคยสบเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย
|
มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน
|
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก
|
หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน
|
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล
|
มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง
|
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก
|
จะเด็ดหักเสียก็ได้เขาไม่หวง
|
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง
|
ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม
|
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก
|
จะเก็บดอกเด็ดผลคนก็ขาม
|
แม้นยางลูกถูกหัตถ์ก็กัดลาม
|
เหมือนรำรามรักรายริมชายพง ฯ
|
๏ วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด
|
เอาอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์
|
ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง
|
ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน
|
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย
|
แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน
|
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร
|
จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐ์ให้นิทรา ฯ
|
๏ เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต
|
ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา
|
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา
|
โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี
|
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก
|
จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี
|
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้
|
เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา
|
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ
|
ด้วยเป็นกำพร้าแม่ชะแง้หา
|
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา
|
เช็ดน้ำตาโซมซาบลงกราบกราน
|
ยิ่งตรอมตรึกดึกดื่นสะอื้นอั้น
|
จนไก่ขันเอื้อนเอกวิเวกหวาน
|
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกนาน
|
เจียนจะขานหลงแลชะแง้คอย ฯ
|
๏ บางสีทองคลองบ้านน้ำตาลสด
|
อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย
|
เหมือนปากพี่สีทองของน้องน้อย
|
เป็นคู่บอกดอกสร้อยสักรวา
|
ทุกวันนี้พี่ก็เฒ่าเราก็หง่อม
|
เธอเป็นจอมเราเป็นจนต้องบ่นหา
|
โอ้จอมพี่สีทองของน้องยา
|
เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ ฯ
|
๏ บางอ้อช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง
|
มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล
|
พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัย
|
เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง ฯ
|
๏ พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง
|
ประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์
|
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง
|
เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล
|
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง
|
กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน
|
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน
|
เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง
|
โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ
|
ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
|
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง
|
ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม
|
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย
|
มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม
|
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม
|
จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย ฯ
|
๏ ถึงวัดสักเหมือนพึ่งรักที่ศักดิ์สูง
|
สูงกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย
|
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย
|
จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง
|
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง
|
ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ
|
เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง
|
แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
|
สุดาใดได้เพื่อนอย่าเฟือนพี่
|
เหมือนมณีนพรัตน์ฉัตรเฉลิม
|
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม
|
ให้พูนเพิ่มพิศวาสอย่าคลาดคลาย
|
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้
|
ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย
|
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย
|
เป็นยอดชายเชี่ยวชาญการวิชา
|
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร
|
สมสนิทนางตะเข้เสน่หา
|
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา
|
จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน
|
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่
|
แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน
|
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล
|
มาด้วยกันกับทั้งคู่ที่อยู่ริม
|
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสะอื้นอ้อน
|
จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม
|
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม
|
กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา
|
บางคูเวียงเสียงเงียบเซียบสงัด
|
เป็นจังหวัดเวียงสวนล้วนพฤกษา
|
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนียงนา
|
ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง
|
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน
|
มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง
|
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง
|
โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์
|
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอก
|
น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน
|
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน
|
เหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ
|
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย
|
ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ
|
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ
|
นั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ ฯ
|
๏ ถึงบางม่วงง่วงจิตคิดถึงม่วง
|
ต้องจากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ
|
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ
|
มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ
|
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด
|
เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว
|
เหมือนตัดรักหักสวาทขาดอาลัย
|
ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วเจ้าแก้วตา
ฯ
|
๏ ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ
|
เข้าเทียบกับกิ่งรักไม่พักหา
|
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมา
|
จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม
|
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง
|
เปรียบเหมือนนางเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม
|
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม
|
ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย
|
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้
|
ไม่พักได้เด็ดรักไม่พักฉวย
|
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย
|
ใครไม่ช่วยชักนำให้กล้ำกลืน ฯ
|
๏ เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก
|
ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น
|
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน
|
ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา
|
เห็นสิ่งของน้องรักฟักจันอับ
|
แช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา
|
พี่จรจากฝากชิดสนิทมา
|
เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ
|
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น
|
แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ
|
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ
|
เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา ฯ
|
๏ แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่อง
|
ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา
|
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา
|
สะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล
|
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้
|
จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน
|
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน
|
ชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง
|
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก
|
เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง
|
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง
|
โอ้อ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
|
๏
บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อบ้าน
|
แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร
|
ลงปลักเปลือกเกลือกเลนระเนนนอน
|
เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน
|
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนเพราะศรรัก
|
ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน
|
แม้นเหมือนรสพจมานเมื่อวานซืน
|
จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม
|
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย
|
จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม
|
ได้ใกล้เคียงเรียงริมจะอิ่มเอม
|
แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาดคลาย ฯ
|
๏ ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า
|
เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย
|
เป็นบ้าจิตคิดแค้นด้วยแสนร้าย
|
ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน ฯ
|
๏ ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน
|
สะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน
|
โสนออกดอกระย้าริมสาชล
|
บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ
|
แต่ต้นเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง
|
เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน
|
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก
|
ถึงแสนโซสิ้นคิดไม่ติดตาม
|
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาด
|
ขึ้นพ้นพาดเพ่งพิศให้คิดขาม
|
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนาม
|
แต่ว่าหนามรกระชะกะกาง
|
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย
|
ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง
|
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง
|
เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา
|
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง
|
ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา
|
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา
|
สันตะวาสายติ่งต้นลินจง ฯ
|
๏ ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด
|
ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์
|
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง
|
เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน
|
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ
|
ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร
|
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน
|
เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย
|
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก
|
เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย
|
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรราย
|
พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง ฯ
|
๏ ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน
|
น่าสำราญเรียงรันควันโขมง
|
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยง
|
เป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ
|
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก
|
ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว
|
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป
|
ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย
|
เวทนากาสรสู้ถอนถีบ
|
เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย
|
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย
|
อย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง ฯ
|
๏ ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง
|
เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง
|
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง
|
ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน
|
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด
|
บรรพตพืดภูผาพนาสิณฑ์
|
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน
|
ตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว
|
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง
|
ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว
|
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว
|
อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว
|
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด
|
ไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว
|
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว
|
เที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา
|
นกกระจาบคาบคุ่มอีลุ้มร่อน
|
ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา
|
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา
|
นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน
|
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด
|
ยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน
|
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน
|
ส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน ฯ
|
๏ จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน
|
เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น
|
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น
|
น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ
|
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ
|
ใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้
|
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัย
|
จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย ฯ
|
๏ โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ
|
ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย
|
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย
|
สะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว
|
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์
|
ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว
|
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว
|
เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง ฯ
|
๏ ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิต
|
เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง
|
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง
|
เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง
ฯ
|
๏ ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง
|
เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง
|
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง
|
ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม
|
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง
|
มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม
|
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิม
|
ได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย
|
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ
|
เหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส
|
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ
|
จนเข้าในปากน้ำสำประโทน ฯ
|
๏ ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์
|
พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น
|
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน
|
กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย
|
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่
|
กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย
|
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย
|
ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด
|
พอมืดมนฝนคลุ้มชอุ่มอับ
|
โพยมพยับเป็นพยุระบุระบัด
|
เสียงลมสั่นบันลือกระพือพัด
|
พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว
|
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน
|
เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว
|
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว
|
เป็นเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง
|
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนล่อแก้ว
|
จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง
|
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง
|
เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา
ฯ
|
๏ ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน
|
ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา
|
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา
|
ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน
|
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง
|
เป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์
|
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน
|
เป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล ฯ
|
๏ ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว
|
แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน
|
เป็นเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาพาน
|
มาสังหารพระยากงองค์บิดา
|
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่
|
เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา
|
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตา
|
เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ
|
๏ ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน
|
บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง
|
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจัง
|
ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย
|
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย
|
ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย
|
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย
|
ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี
|
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขา
|
ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี
|
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี
|
ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา ฯ
|
๏
บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง
|
กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา
|
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา
|
ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป
|
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่
|
สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล
|
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจ
|
ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร ฯ
|
๏ ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่
|
แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร
|
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร
|
ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา ฯ
|
๏ ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น
|
สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา
|
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลา
|
จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ ฯ
|
๏
ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก
|
น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ
|
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ
|
อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา
|
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้
|
จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา
|
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา
|
สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง
|
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีด
|
หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง
|
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียง
|
บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ
|
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า
|
เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห
|
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแล
|
ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ ฯ
|
๏ ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสง
|
ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล
|
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัย
|
ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญาณ์
|
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ
|
กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา
|
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า
|
เทวดายังช่วยรับประคับประคอง
|
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์
|
มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง
|
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง
|
จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป ฯ
|
๏
น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว
|
หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว
|
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ
|
ให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน
|
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก
|
สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน
|
แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืน
|
จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ
|
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร์
|
ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน
|
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน
|
คะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง ฯ
|
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ
|
เป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง
|
เดชะคำทำคุณการุณัง
|
เป็นที่ตั้งศาสนาให้ถาวร
|
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อน
|
ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร
|
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร
|
จงถาพรเพิ่มรักเป็นหลักโลม
|
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
|
ให้ละห้อยหวนเห็นเหมือนเช่นโฉม
|
พอมืดมนฝนพยับอับโพยม
|
ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง
ฯ
|
๏
ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูง
|
ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง
|
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวง
|
พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง
|
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาด
|
แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง
|
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักชะโลง
|
เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ
|
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง
|
มีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย
|
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร
|
พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ
|
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง
|
น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ
|
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ
|
เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน ฯ
|
๏ หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า
|
พออุ่นอารมณ์ระงับได้หลับไหล
|
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ
|
แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม
|
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า
|
แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม
|
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม
|
เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง
|
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด
|
จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง
|
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง
|
แม่ม่ายสองไนเพราะเสนาะใน ฯ
|
๏ สงสารแต่แม่หม้ายสายสวาท
|
นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
|
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองใน
|
เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
|
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง
|
จะร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
|
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว
|
ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย
|
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
|
ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย
|
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย
|
เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ
|
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน
|
แนบฉะอ้อนอุ่นจิตพิสมัย
|
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด
|
จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน
|
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง
|
กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน
|
ยังมีคุ้นอุ่นจิตไม่บิดเบือน
|
มาเป็นเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร
|
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม
|
ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร
|
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร
|
เมื่อขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง
|
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก
|
ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเป็นเจ้าของ
|
มาสูญชาติวาสนาน้ำตานอง
|
มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง ฯ
|
๏ พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น
|
ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง
|
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง
|
สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม
|
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร
|
ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม
|
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม
|
พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา
|
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น
|
ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา
|
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา
|
ขึ้นเดินป่าไปตามทางเสียงวางเวง
|
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ
|
ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง
|
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง
|
ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว
|
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง
|
น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว
|
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว
|
พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว
|
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น
|
กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว
|
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว
|
เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา
|
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ
|
จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า
|
สนุกในไพรพนัสรัถยา
|
ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน ฯ
|
๏ ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ
|
สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน
|
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน
|
เป็นโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน
|
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข
|
บุดีบุกบรรจบถึงนพศูล
|
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน
|
จงเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน
|
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง
|
ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
|
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์
|
ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ
|
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์
|
เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย
|
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ
|
ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน
|
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน
|
ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์
|
ต่างอุตส่าห์พยายามต้องตามกัน
|
ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา ฯ
|
๏ สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น
|
ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา
|
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา
|
ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี
|
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด
|
กราบประณตกรประนมก้มเกศี
|
ถวายธูปเทียนบุปผาสุมาลี
|
กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน
|
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว
|
จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล
|
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน
|
ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา
|
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เป็นญาติ
|
ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปรารถนา
|
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา
|
ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์
|
สาธุสะพระประธมบรมธาตุ
|
จงทรงศาสนาอยู่อย่ารู้สูญ
|
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล
|
ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ ฯ
|
๏ หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ
|
ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
|
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ
|
พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร ฯ
|
๏ อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง
|
แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
|
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน
|
ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา ฯ
|
๏ อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด
|
ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา
|
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา
|
เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง
|
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก
|
รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง
|
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง
|
จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน
|
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด
|
จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ
|
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น
|
ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาดคลา ฯ
|
๏ ขอเดชะพระมหาอานิสงส์
|
ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา
|
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา
|
เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ ฯ
|
๏ หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส
|
ซึ่งสิ้นชาติสิ้นภพสบสมัย
|
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป
|
ถึงห้องไตรตรึงษ์สถานพิมานแมน ฯ
|
๏ ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น
|
จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน
|
มั่งมีมิตรพิศวาสไม่ขาดแคลน
|
ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน
|
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ
|
เสน่ห์มอบหมายรักเป็นพักผล
|
เผอิญขัดพลัดพรากเพราะยากจน
|
แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี
|
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก
|
ที่สมศักดิ์สมหน้าเป็นราศี
|
สืบสกุลพูนสวัสดิ์ในปัถพี
|
ร่วมชีวีสองคนไปจนตาย
|
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก
|
ให้ออกดอกทุกวี่วันเหมือนมั่นหมาย
|
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย
|
เป็นแม่หม้ายเท้งเต้งวังเวงใจ
|
ที่จงจิตพิศวาสอย่าคลาดเคลื่อน
|
ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย
|
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน
|
ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย
|
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ
|
สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
|
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย
|
จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน ฯ
|
๏ แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก
|
ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์
|
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์
|
ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
|
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่
|
ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
|
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร
|
ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา
|
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์
|
จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
|
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา
|
พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
|
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์
|
เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
|
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์
|
เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร ฯ
|
๏ โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก
|
ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน
|
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน
|
ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม
|
ยังเหลือแต่แพรชมพูของคู่ชื่น
|
ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม
|
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม
|
เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง
|
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ
|
สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ
|
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง
|
เหมือนรูปทองธรรมชาติสะอาดตา ฯ
|
๏ แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ
|
เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา
|
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา
|
ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร
|
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม
|
ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว
|
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร
|
แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง
|
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา
|
ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
|
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง
|
ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
|
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน
|
เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง
|
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง
|
เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา ฯ
|
๏ ในอากาศดาดดูล้วนหมู่นก
|
บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา
|
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา
|
สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ
|
บนประธมลมเอื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น
|
กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว
|
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป
|
อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา
|
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ
|
ดังฉัตรเฉกชื่นชุ่มพุ่มพฤกษา
|
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา
|
เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว
|
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร
|
รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว
|
ฉิมพลีปลีอ่อนเกสรปลิว
|
มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ ฯ
|
๏ โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท
|
คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล
|
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร
|
พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร
|
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง
|
เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน
|
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน
|
สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย
|
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก
|
สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย
|
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย
|
จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ
|
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น
|
ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน
|
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย
|
ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง
|
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ
|
มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง
|
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง
|
มีต่างต่างตันอกตกตะลึง
|
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้
|
เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง
|
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง
|
ชมกระดึงดอกดวงพวงพะยอม
|
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแชล่ม
|
ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม
|
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม
|
แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ
|
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน
|
เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ
|
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ
|
มันบินหวือว่อนลงข้างดงดอน ฯ
|
๏ ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ
|
ระดาดาดดอกดวงบัวหลวงสลอน
|
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร
|
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย
|
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ
|
บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย
|
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย
|
จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน
|
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น
|
ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน
|
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร
|
เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง ฯ
|
๏ โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน
|
มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง
|
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง
|
ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา ฯ
|
๏ โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม
|
เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา
|
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา
|
พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น
|
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ
|
มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น
|
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น
|
มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน
|
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช
|
โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล
|
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ
|
ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ ฯ
|
๏ แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน
|
คนโบราณรับไปได้ไต่ถาม
|
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม
|
เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์
|
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้
|
หวังจะให้ทราบความตามประสงค์
|
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์
|
พระยากงพระยาพานกับมารดา
|
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราชย์
|
เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา
|
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา
|
กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน
|
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง
|
ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ
|
พระยากงส่งไปให้นายพราน
|
ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย
|
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง
|
แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย
|
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย
|
ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง
|
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว
|
แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง
|
รู้ผูกหญ้าผ้าพยนต์มนต์จังงัง
|
มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร
|
พระยากงลงมาจับก็รับรบ
|
ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร
|
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพาน
|
จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ
|
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล
|
จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
|
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ
|
ด้วยความนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน ฯ
|
๏ ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด
|
ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล
|
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์
|
จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน
|
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า
|
ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร
|
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคน
|
แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน
|
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม
|
ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน
|
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์
|
เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศีลา
|
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ
|
ปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา
|
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยา
|
ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล
|
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้
|
ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน
|
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพาน
|
คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง ฯ
|
๏ ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้
|
หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง
|
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคอง
|
ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
|
ก็จนใจได้แต่คำทำหนังสือ
|
ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม
|
ให้ลือชาปรากฏได้งดงาม
|
พอเป็นความชอบบ้างในทางบุญ
|
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์
|
สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน
|
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ
|
อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน ฯ
|
๏ แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน
|
ตรวจวารินรดทำคำอักษร
|
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร
|
ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์
|
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ
|
ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร
|
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน
|
เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน
|
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก
|
น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน
|
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมสกล
|
พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูน
|
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์
|
ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ
|
สิ้นแผ่นดินทินกรรอนจำรูญ
|
ให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน
|
ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีป
|
ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน
|
เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ก้ำเกิน
|
จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา ฯ
|
๏ อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราช
|
บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา
|
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา
|
ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง ฯ
|
๏ ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสง
|
ตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง
|
เข้าพลบค่ำร่ำรวีราศีประเทือง
|
ก็จบเรื่องแต่งชมประธมเอย ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/prathom-01.html
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment