นิราศเมืองแกลง เป็นนิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ แต่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากพ้นโทษออกมา เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคต สุนทรภู่ไปเมืองแกลงด้วยสาเหตุใดไม่ทราบชัด บางท่านว่าสุนทรภู่จะไปบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์ ประกอบกับอายุครบบวชพอดี แต่เมื่ออ่านในนิราศ ก็ไม่ปรากฎในที่ใดว่าท่านไปบวช เป็นแต่เพียงมีความตอนหนึ่งว่า:
"ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา"
แสดงว่าท่านไม่ได้บวช บางท่านว่าสุนทรภู่ไปหาบิดาเพื่อขอเงินมาแต่งงาน ก็ยิ่งน่าประหลาดใจ เพราะท่านบิดาบวชอยู่ จะเอาเงินที่ไหนมาให้สุนทรภู่ ทั้งมารดาของท่าน ก็เป็นนางนมพระธิดาของพระองค์เจ้าจงกลอยู่ น่าจะช่วยเรื่องเงินทองได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีความปรากฏในนิราศตอนหนึ่งว่า:
"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"
ทำให้ต้องคิดหนักขึ้นไปอีกว่า ท่านไปด้วยกิจธุระของเจ้านายท่านใดหรือไม่ หรือเจ้านายท่านจะใช้ให้สุนทรภู่ไปหาบิดาด้วยเรื่องอะไร นักศึกษางานของท่านพากันคิดไปได้ร้อยแปด จะอย่างไรก็ดี นิราศเรื่องนี้ก็สนุกสนานน่าติดตามยิ่งนัก ท่านบรรยายถึงเส้นทางการเดินทาง ผ่านสถานที่ต่างๆ แล้วก็พร่ำพรรณนาถึงแม่จันอยู่มิได้ขาด ซึ่งหากสังเกตเปรียบเทียบกับนิราศเรื่องหลังๆ ของท่านจะเห็นได้ชัดว่า มุมมองของท่านที่มีต่อโลก เปลี่ยนไปอย่างไร... เรามาเดินทางสู่เมืองแกลง ไปพร้อมกับท่านสุนทรภู่ในบัดนี้เถิด
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/klaeng-01.html
"ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา"
แสดงว่าท่านไม่ได้บวช บางท่านว่าสุนทรภู่ไปหาบิดาเพื่อขอเงินมาแต่งงาน ก็ยิ่งน่าประหลาดใจ เพราะท่านบิดาบวชอยู่ จะเอาเงินที่ไหนมาให้สุนทรภู่ ทั้งมารดาของท่าน ก็เป็นนางนมพระธิดาของพระองค์เจ้าจงกลอยู่ น่าจะช่วยเรื่องเงินทองได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีความปรากฏในนิราศตอนหนึ่งว่า:
"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"
ทำให้ต้องคิดหนักขึ้นไปอีกว่า ท่านไปด้วยกิจธุระของเจ้านายท่านใดหรือไม่ หรือเจ้านายท่านจะใช้ให้สุนทรภู่ไปหาบิดาด้วยเรื่องอะไร นักศึกษางานของท่านพากันคิดไปได้ร้อยแปด จะอย่างไรก็ดี นิราศเรื่องนี้ก็สนุกสนานน่าติดตามยิ่งนัก ท่านบรรยายถึงเส้นทางการเดินทาง ผ่านสถานที่ต่างๆ แล้วก็พร่ำพรรณนาถึงแม่จันอยู่มิได้ขาด ซึ่งหากสังเกตเปรียบเทียบกับนิราศเรื่องหลังๆ ของท่านจะเห็นได้ชัดว่า มุมมองของท่านที่มีต่อโลก เปลี่ยนไปอย่างไร... เรามาเดินทางสู่เมืองแกลง ไปพร้อมกับท่านสุนทรภู่ในบัดนี้เถิด
นิราศเมืองแกลง
|
|
กวี : สุนทรภู่
|
|
ประเภท : กลอนนิราศ
|
|
๏ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
|
|
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
|
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
|
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
|
ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
|
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
|
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
|
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท
|
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
|
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
|
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
|
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม
|
น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
|
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ
|
จะพากันแรมทางไปต่างเมือง ฯ
|
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อน
|
พอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง
|
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง
|
แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา
|
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า
|
จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
|
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา
|
โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
|
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์
|
สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง
|
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง
|
เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
|
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย
|
เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
|
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร
|
ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน
|
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ
|
แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
|
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน
|
ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง
|
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย
|
นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์
|
จะลำบากยากแค้นไปแดนดง
|
เอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน ฯ
|
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่ง
|
ยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน
|
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือน
|
จนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร
|
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่
|
กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
|
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ
|
เดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
|
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้
|
คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
|
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจร
|
โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
|
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้าง
|
พี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย
|
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชาย
|
แม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล
|
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น
|
ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน
|
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญ
|
มาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ
|
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน
|
จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
|
ศศิธรอ่อนอับพยับไพ
|
ถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง
|
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล
|
ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง
|
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง
|
เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
|
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต
|
ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
|
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี
|
ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
|
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ
|
ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
|
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ
|
พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
|
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิง
|
ดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง
|
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคอง
|
ก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย
|
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด
|
ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
|
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป
|
นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา
|
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้าย
|
ตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา
|
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวา
|
เป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
|
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบ
|
ระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน
|
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรัน
|
เป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ
|
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับ
|
เห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย
|
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจ
|
คราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม
|
อันนางในนคราถึงทาสี
|
ดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม
|
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงาม
|
ยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง
|
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ
|
ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
|
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง
|
ต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง
|
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด
|
เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
|
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง
|
บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย
|
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้ง
|
เห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย
|
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลาย
|
เห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน
|
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบ
|
เสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ
|
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การ
|
เอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง
|
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอย
|
พุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง
|
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรง
|
นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม ฯ
|
๏ จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลง
|
เป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม
|
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกม
|
คงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ
|
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋น
|
ดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ
|
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือ
|
ลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง
|
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียว
|
สันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง
|
เขารีบแจวมาในนทีทอง
|
อันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล
|
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอก
|
โอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน
|
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตน
|
เพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ
|
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสม
|
ตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว
|
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร
|
ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
|
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก
|
ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
|
เข้าสร้างศาลเทพาพยายาม
|
กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา
|
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้
|
โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
|
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา
|
เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
|
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก
|
ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
|
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ
|
ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
|
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง
|
เขาว่าลิงจองหองมันพองขน
|
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน
|
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง ฯ
|
๏ ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่ง
|
น้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง
|
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครอง
|
ข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน
|
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำ
|
ดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์
|
เขาหุงหาอาหารให้ตามจน
|
โอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ
|
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียว
|
เหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ
|
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอ
|
กินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ
|
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่
|
ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว
|
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟ
|
แต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย
|
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง
|
มากรำยุงเวทนาประดาหาย
|
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย
|
แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
|
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่อง
|
เข้าในคลองคึกคักกันนักหนา
|
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรา
|
นาวามาเรียงตามกันหลามทาง
|
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้ง
|
ทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง
|
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์
|
วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ
|
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝก
|
ทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว
|
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัย
|
เช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย
|
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด
|
กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
|
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย
|
เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
|
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก
|
ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
|
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย
|
เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ
|
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ
|
ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
|
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย
|
ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
|
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง
|
เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
|
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนอง
|
ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
|
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก
|
เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
|
กระทบผางตอนางตะเคียนดำ
|
ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
|
พวกเรือพี่สี่คนขนสยอง
|
ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
|
พ้นระวางนางรุกขฉายา
|
ต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง
|
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์
|
ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง
|
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิง
|
ให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ
|
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบ
|
ไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ
|
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือ
|
ค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง
|
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ
|
สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง
|
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง
|
ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
|
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด
|
มาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม
|
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์
|
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
|
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็น
|
ยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
|
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัย
|
จะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ
|
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าว
|
พอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน
|
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์
|
ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล
|
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำ
|
ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
|
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมน
|
สุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย
|
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครอง
|
ค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล
|
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจ
|
เป็นพงไพรฝูงนกวิหคบิน ฯ
|
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้น
|
ดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์
|
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวาริน
|
เหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป
|
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่
|
ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย
|
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัย
|
ช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย
|
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่อง
|
เห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย
|
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย
|
ทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน
|
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้ว
|
เห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน
|
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอน
|
ยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร
|
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้ว
|
ให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว
|
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกล
|
คลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง
|
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่น
|
เห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง
|
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชัง
|
แล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง
|
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้ว
|
อุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง
|
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจง
|
คิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ
|
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง
|
แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
|
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ
|
คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
|
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุก
|
จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
|
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย
|
ทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา
|
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อย
|
พุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา
|
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธา
|
ชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม
|
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่น
|
จนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย
|
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไป
|
ดูมือในเมฆานภาภางค์
|
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทร
|
ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง
|
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางราง
|
กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย
|
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัด
|
ระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย
|
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอย
|
น้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคา ฯ
|
๏ แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช
|
ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
|
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา
|
เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
|
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ
|
พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
|
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ
|
สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
|
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้าน
|
ถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย
|
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอย
|
เอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน
|
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบ
|
ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
|
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล
|
ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
|
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป
|
แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
|
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม
|
ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
|
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่
|
ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม
|
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตาม
|
ผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย
|
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบ
|
สมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย
|
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชย
|
โอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป
|
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อน
|
จึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย
|
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทย
|
สำนักในคูหาขุนจ่าเมือง ฯ
|
๏ ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบ
|
จะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง
|
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทือง
|
เที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง
|
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง
|
บ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง
|
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียง
|
เห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง
|
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้า
|
หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
|
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง
|
มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
|
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง
|
ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
|
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง
|
พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
|
ดูก็งามตามประสาพนาเวศ
|
ไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์
|
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวัน
|
ก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง
|
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลด
|
อร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง
|
จากเคหาชลนาพี่นองเนือง
|
ขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง
|
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยน
|
หนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง
|
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินราง
|
หยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย
|
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนด
|
ที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย
|
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย
|
เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
|
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่
|
เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
|
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยง
|
ตามนายแสงนำทางไปกลางไพร
|
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขน
|
ไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย
|
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไร
|
จนสุดไร่เลียบริมทะเลมา
|
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระ
|
ดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา
|
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมา
|
เขาโอภาต้อนรับให้หลับนอน ฯ
|
๏ พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ
|
ลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร
|
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทร
|
ละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี
|
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาด
|
ก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี
|
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรี
|
โอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ
|
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาด
|
เห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย
|
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไป
|
ถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย
|
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน
|
ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย
|
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย
|
เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน
|
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติ
|
ขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์
|
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคัน
|
เสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ
|
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัด
|
ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
|
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบ
|
หนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย
|
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่า
|
ฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย
|
จนออกดงลงเดินเนินสบาย
|
ค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน
|
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้ง
|
เขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์
|
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญ
|
นกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร
|
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่น
|
เห็นคนผลุนโผผินบินไถล
|
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไป
|
ฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง
|
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่น
|
สำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง
|
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนาง
|
มาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร
|
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่ง
|
ถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน
|
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการ
|
มีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา
|
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อย
|
ให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา
|
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลา
|
ต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง
|
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหาย
|
แต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง
|
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลง
|
แต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล
|
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อย
|
ชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย
|
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป
|
ค่อยคลายใจจรเลียบชลามา ฯ
|
๏ ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม
|
ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
|
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดา
|
ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
|
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำ
|
ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
|
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย
|
โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
|
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วย
|
เป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี
|
รำจวนจิตคิดมาในวารี
|
จนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ
|
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสง
|
ยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ
|
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือ
|
พอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ
|
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท
|
จนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
|
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัย
|
รำจวนใจจรจากศาลามา
|
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบ
|
เย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา
|
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา
|
นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
|
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรก
|
กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
|
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียน
|
ขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ
|
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมร
|
ลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ
|
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำ
|
แต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง
|
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้ง
|
ทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง
|
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคาง
|
ค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง
|
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อย
|
ทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง
|
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรง
|
เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
|
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้า
|
จะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย
|
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตาย
|
แสนเสียดายดูเดินจนเกินไป
|
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวาง
|
พอได้ทางลงมหาชลาไหล
|
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไป
|
เป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน
|
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขา
|
ก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร
|
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอน
|
บ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล
|
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบ
|
ถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล
|
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไป
|
จะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย
|
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่
|
ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย
|
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตาย
|
ทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง
|
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขา
|
แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง
|
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทาง
|
ถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย
|
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็ง
|
ในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย
|
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลาย
|
เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง
|
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์
|
จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง
|
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวัง
|
จะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย
|
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้
|
นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย
|
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชาย
|
มาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน
|
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยาก
|
พออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน
|
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียน
|
ไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไป ฯ
|
๏ ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถาม
|
พบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย
|
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจ
|
เขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง
|
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพัก
|
เฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง
|
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆัง
|
ต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน
|
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้าง
|
ถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์
|
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพัน
|
สะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว
|
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์
|
กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว
|
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัว
|
ให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์
|
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอก
|
สำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน
|
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน
|
ก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล
|
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึก
|
ดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส
|
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพร
|
ไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย
|
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอก
|
น้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย
|
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอย
|
ดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ
|
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถาง
|
แม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย
|
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัย
|
วังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย
|
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อน
|
ในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย
|
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชย
|
ชะแง้เงยแหงนทัศนามา
|
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏ
|
แสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา
|
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนา
|
อรัญวาอ้างว้างในกลางดง
|
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน
|
ต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง
|
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรง
|
เมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน
|
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัด
|
ต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน
|
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคน
|
สะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง ฯ
|
๏ ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุ
|
น้ำทะลุออกจากชะวากขวาง
|
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลาง
|
สไบบางชุบซับกับอุรา
|
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอม
|
สะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา
|
ยามพระพายชายเชยรำเพยมา
|
หอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์
|
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่น
|
คิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม
|
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดม
|
พี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร
|
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด
|
ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
|
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป
|
ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
|
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้ง
|
ฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ
|
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกอง
|
แต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป
|
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อน
|
เห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย
|
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใด
|
เห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว
|
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่ง
|
เห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว
|
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัว
|
ขยับตัววิ่งพัลวันไป ฯ
|
๏ ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้า
|
ล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว
|
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพร
|
ไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง
|
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบ
|
ถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง
|
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรง
|
ทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป
|
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขาม
|
เป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย
|
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพร
|
ขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย
|
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย
|
กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
|
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย
|
เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง
|
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว
|
เหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง
|
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง
|
พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ
|
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึก
|
หวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล
|
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพร
|
ทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน
|
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ว
|
วิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน
|
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลิน
|
ต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น
|
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล
|
คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
|
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น
|
บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
|
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ
|
พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ
|
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำ
|
สล้างลำแลสลับอยู่กับกอ
|
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่น
|
ต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ
|
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอ
|
จะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน
|
ทลายลูกสุกแลดูแออัด
|
เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์
|
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากัน
|
ออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม ฯ
|
๏
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า
|
เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
|
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม
|
อุระปิ้มศรปักสลักทรวง
|
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่าง
|
กลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง
|
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวง
|
ไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร
|
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้น
|
รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย
|
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ
|
รู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง
|
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ
|
ยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง
|
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึง
|
ดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน
|
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่ง
|
ต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร
|
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนน
|
จนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล
|
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัด
|
กระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ
|
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเก
|
ออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน
|
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อม
|
ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน
|
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาล
|
เข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป
|
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง
|
ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว
|
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ
|
เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน
|
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้อง
|
เขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน
|
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทร
|
ด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน
|
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้าง
|
จะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน
|
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืน
|
ค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล
|
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็น
|
โอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล
|
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัย
|
มาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น
|
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาส
|
อันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น
|
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็น
|
จะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ
|
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้ง
|
ให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย
|
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟ
|
ด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน
|
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต
|
ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
|
จากระยองย่องตามกันสามคน
|
เลียบถนนคันนาป่ารำไร ฯ
|
๏ ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่
|
เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย
|
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป
|
ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
|
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง
|
เฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา
|
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคา
|
จนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง
|
มีเคหาอารามงามระรื่น
|
ด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง
|
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กง
|
พี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ
|
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่
|
บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ
|
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอ
|
ผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน
|
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูง
|
เสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน
|
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลาน
|
แม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา
|
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อน
|
ถึงยามนอนยามกินถวิลหา
|
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมา
|
ทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง
|
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว
|
ด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง
|
ระหกระเหินเดินภาวนาพลาง
|
พอพบทางลงถึงท้องทะเลวน
|
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่น
|
ร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน
|
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล
|
สล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา
|
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง
|
มีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา
|
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลา
|
ไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง
|
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาด
|
เลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง
|
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง
|
เห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ
|
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก
|
จนมือหงิกงอแงไม่แบได้
|
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกร
|
เด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน ฯ
|
๏ พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อน
|
ดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน
|
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกล
|
ไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง
|
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่
|
ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง
|
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวาง
|
ปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน
|
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัข
|
มันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน
|
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดร
|
สังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง
|
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก
|
บริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
|
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดง
|
ต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น
|
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่ง
|
เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น
|
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็น
|
เสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ
|
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาว
|
จะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์
|
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดาร
|
ถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร
|
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้น
|
จึงพากันลุยเลียบทะเลไหล
|
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจ
|
ลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง
|
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด
|
ทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง
|
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลาง
|
ถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ
|
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้าง
|
ทำถามทางชักชวนให้สรวลเส
|
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเล
|
สมคะเนกินแตงพอแรงกัน
|
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศ
|
ลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญ
|
ตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน
|
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้าง
|
ไปตามทางโขดเขินเนินถนน
|
สดับเสียงลิงค่างครางคำรน
|
เหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา ฯ
|
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ
|
ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
|
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา
|
กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
|
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิต
|
รำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย
|
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย
|
จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
|
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
|
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
|
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
|
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
|
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
|
ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
|
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย
|
จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
|
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว
|
ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
|
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว
|
ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
|
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมาก
|
ต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย
|
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควาย
|
กล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี
|
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อ
|
ล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี
|
ที่คะขาคำหวานนานนานมี
|
เป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย
|
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่า
|
มันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย
|
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย
|
ได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง
|
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่ว
|
เขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง
|
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตง
|
จนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี
|
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยว
|
ตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี
|
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภี
|
ปัถวีวาโยก็หย่อนลง
|
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝน
|
จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์
|
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์
|
ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง
|
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต
|
ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง
|
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง
|
ไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น
|
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จ
|
ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ
|
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น
|
เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา
ฯ
|
๏ แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อ
|
ไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา
|
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตา
|
ไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ
|
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว
|
สันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย
|
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจ
|
ชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา
|
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่น
|
ลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา
|
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลา
|
ดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน
|
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขา
|
บ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน
|
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียน
|
ดาษเดียรดูสล้างกลางชลา
|
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่ง
|
เป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา
|
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตา
|
ถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง
|
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำ
|
จนพลบค่ำมืดมนขนสยอง
|
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครอง
|
แม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้
|
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม
|
ตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี
|
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลี
|
แล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา
|
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวง
|
จะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา
|
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามา
|
กลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ
|
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย
|
ยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ
|
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำ
|
ได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม
|
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศ
|
ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม
|
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออม
|
ประณตน้อมพุทธคุณกรุณา
|
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช
|
เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา
|
พยายามตามกิจด้วยบิดา
|
เป็นฐานานุประเทศอธิบดี
|
จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม
|
เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี
|
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี
|
กำหนดยี่สิบวสาสถาวร
|
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์
|
ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร
|
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พร
|
อย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน
|
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิด
|
ด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ
|
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณ
|
ได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์
|
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิต
|
ได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม
|
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม
|
ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา
|
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วน
|
แขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา
|
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์
|
แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน
|
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึง
|
ให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร
|
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดร
|
แต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา
|
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยาก
|
จะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา
|
ก็จนใจไกลทางต่างสุธา
|
แต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง
|
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์
|
โอ้อนาถในวนาป่าระหง
|
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดง
|
วิเวกวงวันเวศวังเวงใจ
|
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง
|
เหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล
|
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
|
โอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก
|
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่น
|
ระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก
|
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึก
|
ทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจ ฯ
|
๏ จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝน
|
ทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล
|
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ
|
จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์
|
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่น
|
อินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน
|
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์
|
มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์
|
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง
|
ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก
|
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนัก
|
ทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา
|
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ
|
ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา
|
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบา
|
ท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด
|
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้
|
ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด
|
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมด
|
จึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา
|
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ
|
ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
|
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยา
|
ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
|
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้าง
|
กลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน
|
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลาน
|
ไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา
|
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์
|
จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา
|
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกา
|
ก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน
|
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค
|
กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน
|
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล
|
แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน
|
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่า
|
จะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ
|
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ
|
ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
|
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า
|
จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
|
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย
|
จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์
|
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิต
|
ก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร
|
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จร
|
เป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร
|
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำ
|
จึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข
|
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัย
|
จงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง
|
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรัก
|
มีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง
|
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึง
|
ให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ
|
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพ
|
มาหมายพบพูดความกับงามขำ
|
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำ
|
แต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน
|
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่น
|
ก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน
|
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือน
|
เหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน
|
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง
|
มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน
|
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน
|
อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
|
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวง
|
คนทั้งปวงเขาคิดริษยา
|
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา
|
ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
|
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์
|
หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน
|
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจ
|
สิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง
|
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้ม
|
ให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง
|
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปราง
|
ให้จืดจางจำจากกระดากใจ
|
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก
|
เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
|
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย
|
ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย
ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/klaeng-01.html
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment