พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้เสด็จฯ ไปทรงเวียนเทียนวันมาฆบูชาที่พระบาท เมื่อเดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่ซึ่งเป็นมหาดเล็กในพระองค์ก็ต้องตามเสด็จไปในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ยังมีเรื่องมีราวกับแม่จัน ไม่ทันได้คืนดี
รอยพระพุทธบาท ณ เชิงเขาสุวรรณบรรพต แขวงเมืองสระบุรี คือปูชีนียสถานอันสำคัญยิ่ง นับแต่พรานบุญได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๑๖๗ ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระมหากษัตริย์และเจ้านายพระองค์ต่างๆ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาชั้นหลัง ลงมาถึงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทแห่งนี้มาโดยตลอด
ครั้งปู่ย่าตาทวดถือกันว่า ใครได้ไปไหว้พระบาทครบ ๗ ครั้ง ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ที่ถือกันอย่างนี้เพราะสมัยก่อนการเดินทางลำบากยากเย็นเต็มที การเดินทางครั้งนี้แม้จะลำบากเพียงใดก็ดี แต่ก็สนุกสนานยิ่งนัก คราวนี้สุนทรภู่ไปกับขบวนหลวง มีทั้งมหาดเล็กและนางใน ทั้งสาวทั้งแก่ไปกันมาก ต้องเดินทางทั้งทางน้ำและทางบก กว่าจะไปถึงรอยพระพุทธบาทได้ใช้เวลาไปถึง ๓ วัน ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน เราขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไปถึงกันเสียแล้ว... เรามาเดินทางสู่พระพุทธบาทสระบุรี ไปพร้อมกับท่านสุนทรภู่ในบัดนี้เถิด
รอยพระพุทธบาท ณ เชิงเขาสุวรรณบรรพต แขวงเมืองสระบุรี คือปูชีนียสถานอันสำคัญยิ่ง นับแต่พรานบุญได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๑๖๗ ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระมหากษัตริย์และเจ้านายพระองค์ต่างๆ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาชั้นหลัง ลงมาถึงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทแห่งนี้มาโดยตลอด
ครั้งปู่ย่าตาทวดถือกันว่า ใครได้ไปไหว้พระบาทครบ ๗ ครั้ง ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ที่ถือกันอย่างนี้เพราะสมัยก่อนการเดินทางลำบากยากเย็นเต็มที การเดินทางครั้งนี้แม้จะลำบากเพียงใดก็ดี แต่ก็สนุกสนานยิ่งนัก คราวนี้สุนทรภู่ไปกับขบวนหลวง มีทั้งมหาดเล็กและนางใน ทั้งสาวทั้งแก่ไปกันมาก ต้องเดินทางทั้งทางน้ำและทางบก กว่าจะไปถึงรอยพระพุทธบาทได้ใช้เวลาไปถึง ๓ วัน ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน เราขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไปถึงกันเสียแล้ว... เรามาเดินทางสู่พระพุทธบาทสระบุรี ไปพร้อมกับท่านสุนทรภู่ในบัดนี้เถิด
นิราศพระบาท
|
|
|
|
กวี : สุนทรภู่
|
|
ประเภท : นิราศ
|
|
คำประพันธ์ : กลอนแปด
|
|
สมัย : รัชกาลที่ ๑
|
|
ปีที่แต่ง : ราว พ.ศ. ๒๓๕๐
|
|
|
|
|
๏ โอ้อาลัยใจหายเป็นห่วงหวง
|
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง
|
เสียดายดวงจันทราพะงางาม
|
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่
|
แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
|
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงพระนาม
|
จากอารามแรมร้างทางกันดาร
|
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท
|
จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
|
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร
|
นมัสการรอยบาทพระศาสดา ฯ
|
|
|
๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ
|
พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
|
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา
|
พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
|
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า
|
ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
|
แสนสลดให้ระทดระทวยกาย
|
ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน ฯ
|
|
|
๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต
|
ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น
|
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน
|
พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง
|
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อ
|
ยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง
|
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทาง
|
ทั้งจากบางจากไปใจระบม
|
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียว
|
เห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม
|
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม
|
น้อมบังคมเทวารักษาวัง
|
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ
|
อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง
|
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง
|
เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี ฯ
|
|
|
๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก
|
เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
|
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี
|
ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
|
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง
|
เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
|
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน
|
แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
|
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก
|
ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
|
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ
|
สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ
ฯ
|
|
|
๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต
|
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
|
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล
|
ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร
|
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต
|
เหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร
|
มิตรจิตขอให้มิตรใจจร
|
ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง
|
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่
|
ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง
|
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง
|
จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้ว ฯ
|
|
|
๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน
|
เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
|
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว
|
พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
|
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก
|
ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
|
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง
|
ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
|
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น
|
แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง
|
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวง
|
พี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ
|
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิด
|
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
|
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ
|
เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา
|
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย
|
ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า
|
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา
|
จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน ฯ
|
|
|
๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ
|
เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน
|
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน
|
เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
|
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม
|
ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
|
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอ
|
พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
|
ชมคณาฝูงนางมากลางชล
|
สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
|
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย
|
หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
|
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก
|
เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
|
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน
|
พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว
|
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก
|
ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
|
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว
|
ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย ฯ
|
|
|
๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง
|
โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
|
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย
|
โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
|
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม
|
ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
|
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน
|
สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
|
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น
|
ระวังตนตีนมือระมัดมั่น
|
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน
|
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
|
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ
|
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
|
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน
|
ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง
ฯ
|
|
|
๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก
|
พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
|
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง
|
จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง
|
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก
|
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
|
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง
|
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
|
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น
|
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
|
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง
|
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
|
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่
|
หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี
|
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี
|
จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป ฯ
|
|
|
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย
|
แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล
|
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ
|
โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง
|
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่าง
|
ระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง
|
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง
|
เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม
|
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง
|
ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม
|
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม
|
เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง ฯ
|
|
|
๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ
|
ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
|
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง
|
ต้องแยกทางสองแควกระแสชล
|
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม
|
ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์
|
ในแถวทางกลางย่านกันดารคน
|
นาวาดลเดินเบื้องบูรพา
|
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ
|
มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า
|
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา
|
นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ
|
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ
|
นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
|
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ
|
ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
|
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม
|
เป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน
|
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดิน
|
มัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา
|
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิก
|
เอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา
|
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามา
|
โอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป
|
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก
|
ให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้
|
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป
|
ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
|
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม
|
เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน
|
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน
|
เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง ฯ
|
|
|
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ
|
เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
|
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง
|
จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
|
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว
|
ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
|
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน
|
กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
|
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่
|
ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
|
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง
|
กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
|
พาสนมออกมาชมคณานก
|
ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
|
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา
|
ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
|
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น
|
ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
|
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม
|
จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป ฯ
|
|
|
๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม
|
เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
|
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ
|
ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
|
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส
|
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
|
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ
|
อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
|
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง
|
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
|
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา
|
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
|
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น
|
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
|
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง
|
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน ฯ
|
|
|
๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง
|
ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
|
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร
|
การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
|
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ
|
ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
|
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง
|
อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
|
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย
|
ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
|
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง
|
มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
|
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก
|
แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
|
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย
|
น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
|
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก
|
เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
|
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา
|
ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน ฯ
|
|
|
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์
|
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
|
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน
|
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
|
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก
|
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
|
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง
|
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
|
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก
|
ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
|
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา
|
เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
|
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก
|
ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
|
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน
|
เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
|
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก
|
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
|
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย
|
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
|
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค
|
ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
|
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย
|
ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ
|
|
|
๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น
|
ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
|
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง
|
ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
|
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต
|
ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
|
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร
|
นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน ฯ
|
|
|
๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ
|
ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
|
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ
|
ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
|
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก
|
จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
|
พลพายนายไพร่บรรดามา
|
หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
|
พี่ตันอกตกยากจากสถาน
|
เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
|
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ
|
พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
|
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว
|
มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
|
กินประทับแต่พอรับกับโรคลม
|
ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
|
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม
|
พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
|
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย
|
พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
|
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร
|
เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
|
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน
|
จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา ฯ
|
|
|
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ
|
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
|
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา
|
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
|
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน
|
ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
|
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง
|
หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
|
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก
|
ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
|
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ
|
เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน ฯ
|
|
|
๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก
|
จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
|
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน
|
ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
|
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน
|
ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
|
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ
|
เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
|
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน
|
ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
|
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย
|
หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน ฯ
|
|
|
๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง
|
ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
|
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน
|
กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
|
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่
|
แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
|
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย
|
แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
|
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ
|
เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
|
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา
|
ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
|
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด
|
ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
|
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ
|
ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
|
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด
|
เรือตลอดแลหลามตามกระแส
|
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ
|
ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
|
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด
|
อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
|
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม
|
พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี ฯ
|
|
|
๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา
|
ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
|
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี
|
แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
|
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน
|
ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
|
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย
|
หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
|
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ
|
เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
|
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว
|
ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
|
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก
|
มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
|
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว
|
วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
|
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง
|
เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
|
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง
|
พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน ฯ
|
|
|
๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์
|
เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ
|
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน
|
ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์
|
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพัก
|
เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
|
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร
|
ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน
|
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์
|
เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน
|
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ
|
ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน
|
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว
|
ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร
|
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร
|
กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง ฯ
|
|
|
๏
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่
|
บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
|
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง
|
บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
|
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง
|
เสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน
|
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน
|
หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
|
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก
|
กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
|
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย
|
เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน ฯ
|
|
|
๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย
|
ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
|
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน
|
เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
|
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา
|
แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
|
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอ
|
เห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง
|
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด
|
สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
|
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง
|
ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
|
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด
|
ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
|
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว
|
บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง ฯ
|
|
|
๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก
|
บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
|
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์
|
รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
|
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง
|
เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
|
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน
|
เขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
|
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง
|
ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย
|
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้าย
|
ต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน
|
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัด
|
ช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์
|
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน
|
โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง
|
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน
|
แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง
|
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง
|
เอาขอพิงพาดตักมาตามทาง ฯ
|
|
|
๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด
|
ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
|
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง
|
ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ
|
รุกขชาติดาษดูระดะป่า
|
สกุณาจอแจประจำจับ
|
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ
|
จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
|
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ
|
ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
|
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร
|
ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น ฯ
|
|
|
๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง
|
บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
|
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น
|
ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง
|
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า
|
จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
|
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง
|
เห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว
|
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง
|
เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
|
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว
|
มาตามราวมรคาพนาวัน
|
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน
|
ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
|
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน
|
ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู ฯ
|
|
|
๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก
|
ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู
|
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้
|
แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ
|
ระยะเดินเถินทางมากลางป่า
|
สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่
|
พอได้กึ่งมรคาพนาลัย
|
พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง ฯ
|
|
|
๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว
|
ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง
|
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง
|
เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ
|
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง
|
รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ
|
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรม
|
เหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม
|
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้าง
|
มาตามทางทิวป่าพนาหนาม
|
กำหนดนับมรคาพยายาม
|
ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย
|
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า
|
แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย
|
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย
|
จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
|
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง
|
พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง
|
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง
|
นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ
|
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุก
|
พี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ
|
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำ
|
โอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย
|
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่
|
แสนทวีเวทนาประดาเสีย
|
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย
|
จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว
|
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย
|
จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว
|
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว
|
พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา ฯ
|
|
|
๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร
|
ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา
|
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา
|
จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน
|
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้าย
|
เขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน
|
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน
|
เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล
|
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส
|
จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน
|
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล
|
จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน ฯ
|
|
|
๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ
|
ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
|
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ
|
ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร
|
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึก
|
อนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล
|
ที่ตกยากจากนางมากลางไพร
|
วิตกใจตกมาถึงคีรี
|
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย
|
ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี
|
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี
|
จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร ฯ
|
|
|
๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ
|
ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
|
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร
|
รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
|
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด
|
ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
|
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม
|
สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
|
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น
|
ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
|
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป
|
ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง ฯ
|
|
|
๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ
|
ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
|
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง
|
ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
|
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว
|
วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
|
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึม
|
รุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร
|
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม
|
ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
|
เป็นวันบรรณรสีรวีวร
|
พระจันทรทรงกลดรจนา
|
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป
|
กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
|
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา
|
จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
|
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก
|
ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
|
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย
|
พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
|
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่า
|
ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน
|
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือน
|
จนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา
|
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ
|
เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
|
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา
|
ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
|
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบ
|
แสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว
|
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว
|
ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น
|
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้
|
แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ
|
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น
|
ใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
|
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหน
|
ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง
|
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง
|
จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม
|
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ
|
ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม
|
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม
|
เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง
|
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง
|
ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง
|
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง
|
ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ ฯ
|
|
|
๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก
|
บริโภคโภชนากระยาหาร
|
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ
|
เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
|
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น
|
พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
|
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย
|
ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
|
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค
|
มีรูปรากษสสองอสูรขยัน
|
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน
|
ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
|
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น
|
ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
|
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น
|
ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
|
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด
|
ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
|
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย
|
บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว
ฯ
|
|
|
๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น
|
มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
|
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว
|
ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
|
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น
|
สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
|
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง
|
พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
|
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด
|
ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
|
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน
|
ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
|
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม
|
กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
|
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย
|
กลางกระจายดอกจอกประจำทำ ฯ
|
|
|
๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์
|
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
|
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ
|
กินนรรำรายเทพประนมกร
|
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข
|
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
|
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร
|
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
|
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย
|
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
|
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง
|
วิเวกวังเวงในหัวใจครัน ฯ
|
|
|
๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก
|
น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
|
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์
|
รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
|
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว
|
เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
|
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุม
|
สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
|
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหิน
|
พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
|
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์
|
เสด็จทรงคชสารในบานบัง
|
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน
|
โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
|
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง
|
ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
|
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้น
|
ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
|
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม
|
พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
|
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย
|
ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
|
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย
|
ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง ฯ
|
|
|
๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท
|
อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
|
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง
|
เดชะกองกุศลที่ตนทำ
|
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว
|
ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์
|
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรม
|
แสนระยำยุบยับด้วยอับจน
|
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบ
|
ไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน
|
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคน
|
ชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล
|
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิง
|
ทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย
|
สัญชาติชายทรชนที่คนใด
|
ให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง
|
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วย
|
บุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง
|
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์
|
ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์
|
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติ
|
ให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน
|
ความระยำคำใดอย่าได้ยิน
|
ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง
|
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก
|
ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง
|
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง
|
ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน ฯ
|
|
|
๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท
|
เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
|
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน
|
มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
|
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย
|
เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
|
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง
|
มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
|
มีชะวากคูหาศิลาหุบ
|
ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
|
แต่คนนมัสการนานอนันต์
|
บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย ฯ
|
|
|
๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก
|
พระกลดหักทองขวางกางถวาย
|
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย
|
กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม
|
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้
|
ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
|
กำลังอายก็ซังตายพยายาม
|
ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร
|
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา
|
เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข
|
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป
|
ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา ฯ
|
|
|
๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา
|
ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
|
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา
|
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
|
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ
|
กงกระทบเขากระจายทลายหมด
|
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ
|
จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน ฯ
|
|
|
๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต
|
พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์
|
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์
|
จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ
|
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่าง
|
ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
|
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย
|
สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง
|
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด
|
ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง
|
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง
|
เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน
|
ระกำป่ากาหลงกะลิงจับ
|
ระกำกับเราระกำก็จำเหมือน
|
เห็นไม้จันทน์พี่ยิ่งฟั่นอารมณ์เฟือน
|
เหมือนจันทร์เตือนใจตัวให้ตรอมใจ
|
โอ้นามไม้หรือมาต้องกับน้องพี่
|
ขณะนี้นึกหน้าน้ำตาไหล
|
เจ้าอยู่เรือนชื่อเชือนมาอยู่ไพร
|
เหมือนเตือนใจให้พี่ทุกข์ทุกย่างเดิน
ฯ
|
|
|
๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ
|
ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
|
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน
|
พิศเพลินพฤกษาบรรดามี
|
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก
|
สำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
|
สำคัญปากคูหาศาลามี
|
ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
|
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อย
|
มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน
|
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคน
|
ผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย
|
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำ
|
ชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย
|
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย
|
ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว
|
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน
|
มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว
|
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว
|
ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดงฯ
|
|
|
๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น
|
สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
|
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง
|
เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม
|
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้
|
เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
|
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน
|
กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
|
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น
|
ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
|
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ
|
ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
|
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว
|
ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
|
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ
|
โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา
|
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน
|
ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
|
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา
|
รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน ฯ
|
|
|
๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา
|
สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
|
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน
|
สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง
|
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่
|
จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง
|
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง
|
ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม
|
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก
|
เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม
|
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม
|
ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง ฯ
|
|
|
๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ
|
วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
|
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง
|
เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
|
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบ
|
เป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
|
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง
|
ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
|
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ
|
เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
|
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว
|
ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
|
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม
|
ศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย
|
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย
|
ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา
|
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง
|
ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา
|
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา
|
ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น ฯ
|
|
|
๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท
|
เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น
|
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น
|
ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
|
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ
|
ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
|
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง
|
เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
|
สารพันกันภัยลูกนาคพด
|
เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
|
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย
|
เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
|
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า
|
ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
|
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว
|
มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง ฯ
|
|
|
๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง
|
เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
|
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง
|
ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
|
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม
|
วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
|
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร
|
เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
|
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม
|
โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
|
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง
|
กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ ฯ
|
|
|
๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย
|
พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
|
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว
|
สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
|
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า
|
ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
|
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน
|
ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
|
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง
|
ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
|
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม
|
ให้แสนโทมนัสทัศนา ฯ
|
|
|
๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ
|
สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา
|
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา
|
อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
|
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช
|
สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
|
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน
|
แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
|
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ
|
ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
|
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม
|
แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
|
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย
|
ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
|
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียง
|
ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน
|
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่
|
ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์
|
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกัน
|
คิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง
|
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่
|
จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
|
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวาง
|
จนแรมร้างออกมาราวอรัญวา
|
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช
|
พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา
|
พระสุธนร้างห่างมโนห์รา
|
พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม
|
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร
|
เสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม
|
สุจิตราลาตายไม่วายตรอม
|
ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์
|
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก
|
ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์
|
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง
|
ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย
|
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์
|
ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย
|
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย
|
ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม ฯ
|
|
|
๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่
|
ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
|
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ
|
เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
|
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า
|
เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
|
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง
|
หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
|
มีละครผู้คนอลหม่าน
|
กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
|
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป
|
พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
|
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก
|
ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
|
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ
|
บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน ฯ
|
|
|
๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ
|
ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
|
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน
|
ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
|
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด
|
ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
|
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ
|
คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
|
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก
|
จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
|
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์
|
พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
|
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา
|
บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
|
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน
|
แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน ฯ
|
|
|
๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง
|
จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
|
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ
|
อภิวันท์ลาบาทพระชินวร
|
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด
|
ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
|
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร
|
น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
|
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด
|
โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
|
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย
|
เราจดหมายตามมีมาชี้แจง
|
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่
|
ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
|
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง
|
ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/prabat-02.html
ขอบคุณนะครับ ผมหวังว่าจะมีเนื้อหาดีๆมาแบ่งปันกันอีกนะครับ
ReplyDelete