Latest News

Wednesday, July 15, 2009

นิราศพระบาท

พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้เสด็จฯ ไปทรงเวียนเทียนวันมาฆบูชาที่พระบาท เมื่อเดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่ซึ่งเป็นมหาดเล็กในพระองค์ก็ต้องตามเสด็จไปในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ยังมีเรื่องมีราวกับแม่จัน ไม่ทันได้คืนดี

รอยพระพุทธบาท ณ เชิงเขาสุวรรณบรรพต แขวงเมืองสระบุรี คือปูชีนียสถานอันสำคัญยิ่ง นับแต่พรานบุญได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๑๖๗ ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระมหากษัตริย์และเจ้านายพระองค์ต่างๆ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาชั้นหลัง ลงมาถึงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทแห่งนี้มาโดยตลอด

ครั้งปู่ย่าตาทวดถือกันว่า ใครได้ไปไหว้พระบาทครบ ๗ ครั้ง ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ที่ถือกันอย่างนี้เพราะสมัยก่อนการเดินทางลำบากยากเย็นเต็มที การเดินทางครั้งนี้แม้จะลำบากเพียงใดก็ดี แต่ก็สนุกสนานยิ่งนัก คราวนี้สุนทรภู่ไปกับขบวนหลวง มีทั้งมหาดเล็กและนางใน ทั้งสาวทั้งแก่ไปกันมาก ต้องเดินทางทั้งทางน้ำและทางบก กว่าจะไปถึงรอยพระพุทธบาทได้ใช้เวลาไปถึง ๓ วัน ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน เราขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไปถึงกันเสียแล้ว... เรามาเดินทางสู่พระพุทธบาทสระบุรี ไปพร้อมกับท่านสุนทรภู่ในบัดนี้เถิด

นิราศพระบาท


กวี : สุนทรภู่

ประเภท :  นิราศ

คำประพันธ์ :  กลอนแปด

สมัย : รัชกาลที่ ๑

ปีที่แต่ง :  ราว พ.ศ. ๒๓๕๐




๏ โอ้อาลัยใจหายเป็นห่วงหวง
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง
เสียดายดวงจันทราพะงางาม
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่
แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงพระนาม
จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท
จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร
นมัสการรอยบาทพระศาสดา ฯ


๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ
พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา
พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า
ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
แสนสลดให้ระทดระทวยกาย
ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน ฯ


๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต
ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน
พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อ
ยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทาง
ทั้งจากบางจากไปใจระบม
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียว
เห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม
น้อมบังคมเทวารักษาวัง
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ
อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง
เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี ฯ


๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก
เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี
ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง
เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน
แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก
ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ
สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ ฯ


๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล
ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต
เหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร
มิตรจิตขอให้มิตรใจจร
ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่
ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง
จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้ว ฯ


๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน
เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว
พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก
ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง
ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น
แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวง
พี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิด
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ
เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย
ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา
จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน ฯ


๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ
เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน
เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม
ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอ
พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
ชมคณาฝูงนางมากลางชล
สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย
หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก
เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน
พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก
ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว
ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย ฯ


๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง
โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย
โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม
ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน
สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น
ระวังตนตีนมือระมัดมั่น
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน
ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง ฯ


๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก
พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง
จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่
หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี
จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป ฯ


๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย
แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ
โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่าง
ระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง
เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง
ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม
เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง ฯ


๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ
ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง
ต้องแยกทางสองแควกระแสชล
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม
ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์
ในแถวทางกลางย่านกันดารคน
นาวาดลเดินเบื้องบูรพา
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ
มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา
นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ
นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ
ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม
เป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดิน
มัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิก
เอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามา
โอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก
ให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป
ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม
เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน
เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง ฯ


๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ
เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง
จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว
ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน
กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่
ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง
กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
พาสนมออกมาชมคณานก
ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา
ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น
ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม
จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป ฯ


๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม
เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ
ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ
อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน ฯ


๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง
ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร
การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ
ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง
อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย
ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง
มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก
แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย
น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก
เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา
ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน ฯ


๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก
ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา
เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก
ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน
เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค
ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย
ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ


๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น
ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง
ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต
ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร
นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน ฯ


๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ
ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ
ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก
จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามา
หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
พี่ตันอกตกยากจากสถาน
เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ
พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว
มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
กินประทับแต่พอรับกับโรคลม
ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม
พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย
พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร
เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน
จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา ฯ


๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน
ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง
หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก
ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ
เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน ฯ


๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก
จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน
ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน
ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ
เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน
ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย
หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน ฯ


๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง
ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน
กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่
แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย
แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ
เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา
ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด
ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ
ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด
เรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ
ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด
อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม
พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี ฯ


๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา
ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี
แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน
ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย
หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ
เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว
ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก
มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว
วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง
เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง
พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน ฯ


๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์
เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน
ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพัก
เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร
ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์
เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ
ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว
ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร
กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง ฯ


๏ บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่
บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง
บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง
เสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน
หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก
กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย
เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน ฯ


๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย
ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน
เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา
แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอ
เห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด
สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง
ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด
ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว
บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง ฯ


๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก
บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์
รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง
เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน
เขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง
ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้าย
ต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัด
ช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน
โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน
แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง
เอาขอพิงพาดตักมาตามทาง ฯ


๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด
ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง
ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ
รุกขชาติดาษดูระดะป่า
สกุณาจอแจประจำจับ
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ
จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ
ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร
ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น ฯ


๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง
บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น
ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า
จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง
เห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง
เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว
มาตามราวมรคาพนาวัน
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน
ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน
ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู ฯ


๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก
ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้
แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ
ระยะเดินเถินทางมากลางป่า
สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่
พอได้กึ่งมรคาพนาลัย
พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง ฯ


๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว
ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง
เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง
รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรม
เหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้าง
มาตามทางทิวป่าพนาหนาม
กำหนดนับมรคาพยายาม
ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า
แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย
จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง
พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง
นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุก
พี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำ
โอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่
แสนทวีเวทนาประดาเสีย
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย
จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย
จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว
พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา ฯ


๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร
ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา
จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้าย
เขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน
เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส
จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล
จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน ฯ


๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ
ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ
ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึก
อนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล
ที่ตกยากจากนางมากลางไพร
วิตกใจตกมาถึงคีรี
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย
ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี
จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร ฯ


๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ
ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร
รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด
ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม
สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น
ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป
ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง ฯ


๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ
ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง
ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว
วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึม
รุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม
ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
เป็นวันบรรณรสีรวีวร
พระจันทรทรงกลดรจนา
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป
กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา
จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก
ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย
พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่า
ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือน
จนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ
เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา
ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบ
แสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว
ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้
แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น
ใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหน
ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง
จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ
ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม
เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง
ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง
ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ ฯ


๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก
บริโภคโภชนากระยาหาร
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ
เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น
พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย
ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค
มีรูปรากษสสองอสูรขยัน
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน
ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น
ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น
ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด
ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย
บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว ฯ


๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น
มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว
ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น
สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง
พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด
ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน
ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม
กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย
กลางกระจายดอกจอกประจำทำ ฯ


๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ
กินนรรำรายเทพประนมกร
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง
วิเวกวังเวงในหัวใจครัน ฯ


๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก
น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์
รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว
เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุม
สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหิน
พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์
เสด็จทรงคชสารในบานบัง
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน
โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง
ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้น
ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม
พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย
ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย
ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง ฯ


๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท
อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง
เดชะกองกุศลที่ตนทำ
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว
ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรม
แสนระยำยุบยับด้วยอับจน
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบ
ไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคน
ชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิง
ทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย
สัญชาติชายทรชนที่คนใด
ให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วย
บุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์
ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติ
ให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน
ความระยำคำใดอย่าได้ยิน
ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก
ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง
ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน ฯ


๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท
เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน
มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย
เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง
มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
มีชะวากคูหาศิลาหุบ
ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
แต่คนนมัสการนานอนันต์
บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย ฯ


๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก
พระกลดหักทองขวางกางถวาย
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย
กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้
ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
กำลังอายก็ซังตายพยายาม
ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา
เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป
ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา ฯ


๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา
ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ
กงกระทบเขากระจายทลายหมด
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ
จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน ฯ


๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต
พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์
จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่าง
ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย
สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด
ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง
เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน
ระกำป่ากาหลงกะลิงจับ
ระกำกับเราระกำก็จำเหมือน
เห็นไม้จันทน์พี่ยิ่งฟั่นอารมณ์เฟือน
เหมือนจันทร์เตือนใจตัวให้ตรอมใจ
โอ้นามไม้หรือมาต้องกับน้องพี่
ขณะนี้นึกหน้าน้ำตาไหล
เจ้าอยู่เรือนชื่อเชือนมาอยู่ไพร
เหมือนเตือนใจให้พี่ทุกข์ทุกย่างเดิน ฯ


๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ
ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน
พิศเพลินพฤกษาบรรดามี
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก
สำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
สำคัญปากคูหาศาลามี
ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อย
มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคน
ผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำ
ชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย
ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน
มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว
ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดงฯ


๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น
สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง
เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้
เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน
กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น
ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ
ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว
ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ
โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน
ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา
รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน ฯ


๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา
สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน
สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่
จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง
ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก
เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม
ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง ฯ


๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ
วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง
เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบ
เป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง
ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ
เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว
ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม
ศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย
ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง
ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา
ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น ฯ


๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท
เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น
ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ
ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง
เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
สารพันกันภัยลูกนาคพด
เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย
เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า
ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว
มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง ฯ


๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง
เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง
ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม
วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร
เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม
โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง
กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ ฯ


๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย
พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว
สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า
ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน
ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง
ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม
ให้แสนโทมนัสทัศนา ฯ


๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ
สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา
อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช
สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน
แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ
ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม
แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย
ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียง
ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่
ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกัน
คิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่
จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวาง
จนแรมร้างออกมาราวอรัญวา
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช
พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา
พระสุธนร้างห่างมโนห์รา
พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร
เสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม
สุจิตราลาตายไม่วายตรอม
ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก
ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง
ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์
ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย
ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม ฯ


๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่
ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ
เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า
เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง
หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
มีละครผู้คนอลหม่าน
กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป
พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก
ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ
บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน ฯ


๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ
ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน
ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด
ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ
คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก
จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์
พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา
บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน
แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน ฯ


๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง
จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ
อภิวันท์ลาบาทพระชินวร
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด
ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร
น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด
โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย
เราจดหมายตามมีมาชี้แจง
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่
ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง
ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ


ขอบพระคุณ

http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/prabat-02.html
no image
  • Blogger Comments
  • Facebook Comments

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณนะครับ ผมหวังว่าจะมีเนื้อหาดีๆมาแบ่งปันกันอีกนะครับ

    ReplyDelete

Top